xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “โจ นูโว” จะไม่ทนหลังถูกหวย “เพจปลอม” กุข่าวอยู่เบื้องหลังผลักดันลุงตู่ คืนจอ ”นายกฯพบประชาชน”

หลังมีข่าวว่าประชาชนเรียกร้องให้”ลุงตู่” คืนจอ จนเกิดเสียงเซ็งแซ่โลกโซเชียลฯ ว่า ประชาชนคนไหน ไปสำรวจกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ตกออกตกใจเพราะกลัวว่าจะกลับมาเหมือนเดิมที่ถูก”ลุงตู่” ยึดจอโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ หลัง 2ทุ่ม วันศุกร์มาเกือบ 5 ปี จนเขาแซวกันว่าเป็นช่วง "ประหยัดไฟ"
งานนี้เสียงเล่าว่ากันว่า ฝีมือชงมาจากอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ "เสธ.ไก่อู" พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่เสนอผ่านมาทาง "เทวัญ ลิปตพัลลภ" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ... แต่พอเรื่องร้อนกลายเป็นกระแสดราม่า "นฤมล ภิญโญสินวัฒน์" โฆษกรัฐบาลสาวมือใหม่ ก็รีบออกมาชี้แจงว่า เรื่องนี้เป็นเพียงข้อเสนอมาจากกรมประชาสัมพันธ์ ยังไม่ได้เสนอให้นายกฯ รับทราบแต่อย่างใด
แต่เรื่องยังไม่จบ เกือบงานงอกเลยทีเดียว สำหรับ "โจ - จิรายุส วรรธนะสิน" หรือ "โจ นูโว" ติ่งลุงตู่ขนานแท้ ต้องร้องว่า "สื่อมวลชนเบรกกันก่อนเฮ้ย" หลังจากที่มีเฟซบุ๊กปลอมเป็นเจ้าตัว เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จัดรายการคืนความสุขประชาชนอีกครั้ง จนได้โพสต์เตือนในอินสตาแกรม ยืนยันว่าเป็นของปลอม พร้อมแคปชั่นจะแจ้งความ ในวันพุธที่จะถึงนี้ เอามือปลอมเพจมาลงโทษให้ได้
อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กดังกล่าว มีคนติดตามแค่ 125 คน อีกทั้งยังโพสต์ว่าผู้จัดการวง คือ "พี่หมี" เรียกค่าตัวในการแสดงดนตรี 1 ชม. 5 หมื่น เล่นได้แค่ 5 เพลง หากเล่น 2 ชม. เรียกค่าจ้าง 7 หมื่น ซึ่ง”โจ” ถึงกับขำก๊าก โดยยืนยันว่าไม่มีคนชื่อหมี และค่าตัวไม่ได้แพงขนาดนั้น ย้ำใครเผลอจ่ายมัดจำ จะไม่รับผิดชอบ งานนี้ต้องบอกว่าแม้จะรักลุงตู่ แต่ โจจะไม่ยอมทน .

**ค่าโง่หรือแกล้งโง่!! พลิกปูมข้อพิพาท “กทพ.-บีอีเอ็ม”เกิดจาก “ผิดสัญญา”แล้วเลือกประวิงเวลา ไม่เจรจาแต่แรก จนน่าจะเรียกว่า“ค่าเบี้ยว”มากกว่า“ค่าโง่” ดีดลูกคิดถึงสิ้นปี 61 ค่าเสียหายกระฉูด-ดอกเบี้ยบาน 1.37 แสนล้านบาท กทพ.รับบัญชารัฐบาลใช้ “สาลิกาลิ้นทอง”ต่อรองแบบลดกระหน่ำเหลือ 5.88 หมื่นล้านบาท แต่ยังมีเสียงเชียร์ให้ “สู้ตาย”คดีจนถึงที่สุด ที่อาจทำให้ค่าเสียหายอาจพุ่งเกิน 3.26 แสนล้านบาท ทั้งที่แนวตัดสินศาลมี “ยี่ต๊อก”เป็นบรรทัดฐานอยู่แล้ว เหมือนคนเล่นไพ่ได้ “ป๊อกเด้ง”จู่ๆ เกิดเปลี่ยนวง อยาก“ตีโง่”อย่างไรอย่างนั้น

ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ...การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน และรถไฟฟ้า (บีทีเอส) สภาผู้แทนราษฎร ที่เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) จะเป็นคิวของตัวแทน บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ "บีอีเอ็ม" ในฐานะเจ้าของสัญญาสัมปทาน และ คู่พิพาทกับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ... แน่นอนว่าประเด็นที่ “บีอีเอ็ม”จะมายืนยันต่อที่ประชุม กมธ. ก็คงเป็นเหตุผลความจำเป็นที่ต้องยื่นดำเนินคดีกับ กทพ. ทั้งในกรณีการสร้างทางแข่งขัน และการที่รัฐบาลระงับไม่ให้ขึ้นค่าทางด่วนในอดีต ที่รวมแล้วจนถึงสิ้นปี 2561 มีทั้งสิ้น 17 ข้อพิพาท ... โดยมี 1 ข้อพิพาท ที่ “ศาลสูง”หรือศาลปกครองสูงสุด ตัดสินเป็นที่สุด และให้ กทพ.ชำระค่าเสียหายให้แก่เอกชนเป็นเงินกว่า 4.3 พันล้านบาท ..
เป็นค่าชดเชยรายได้ตามสัมปทานทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางด่วนอุดรรัถยา) จากกรณีก่อสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์ส่วนต่อขยาย จากอนุสรณ์สถาน-รังสิต โดยมูลค่า 4,318 ล้านบาทนั้น เป็นเพียงค่าชดเชยเฉพาะของปี 2542-2543 เท่านั้น .. เพราะในส่วนของคดี “ทางแข่ง”ผลกระทบจากดอนเมืองโทลล์เวย์นั้น ค่าเสียหายจะเกิดขึ้นเป็น“รายปี”จนสิ้นสุดสัมปทานในปี 2569 มีการคำนวณแล้วว่า หาก กทพ.แพ้ทุกคดีในส่วนนี้ จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้เอกชนถึง 7.8 หมื่นล้านบาท ..
ขณะที่คดีขอชดเชยรายได้จากการไม่ขึ้นค่าทางด่วนนั้น ค่าเสียหายจะเกิดขึ้นทุก 5 ปี ตามที่กำหนดในสัญญา จนกว่าจะสิ้นสุดสัมปทาน คาดการณ์มูลค่า หากแพ้ทุกคดี จะตกกว่า 5.6 หมื่นล้านบาท .. รวมค่าเสียหายที่คาดการณ์จากทุกข้อพิพาท เป็นเงิน 1.37 แสนล้านบาท โดยผลการศึกษาจาก ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะ“ที่ปรึกษา กทพ.”ระบุด้วยว่า หาก กทพ. เลือกที่จะสู้ทุกคดีจนถึงที่สุด คาดว่าจะสิ้นสุดคดีสุดท้ายในปี 2578 ถึงวันนั้นมูลค่าข้อพิพาทอาจจะเพิ่มจาก 1.37 แสนล้านบาท ไปเป็น 3.26 แสนล้านบาทเลยทีเดียว ...
สิ่งที่ “บีอีเอ็ม”จะมาชี้แจงต่อ กมธ.คงหนีไม่พ้นการอธิบาย“ภาวะกลืนเลือด”ที่ต้องยอมลดมูลค่าข้อพิพาท เพื่อยุติทุกคดี ทั้งปัจจุบันและในอนาคต จาก 1.37 แสนล้านบาท ที่ใครต่อใคร ต่างขนานนามว่า “ค่าโง่ทางด่วน”แบบ “ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล”เหลือ 5.88 หมื่นล้านบาท
ย้อนไปดูปฐมบทของเรื่องนี้ เกิดข้อพิพาทกันตั้งแต่เมื่อปี 2542 หลัง “บริษัทลูกของบีอีเอ็ม”มองว่า ดอนเมืองโทลล์เวย์กระทบกับรายได้ของทางด่วนอุดรรัถยา ตามสัญญาในประเด็นเกี่ยวกับ “ทางที่มีลักษณะแข่งขัน”ที่มีไว้ต่อกัน จึงนำเรื่องร้องต่อ“อนุญาโตตุลาการ”ที่ตัดสินให้ “เอ็นบีซีแอล”บริษัทลูกของบีอีเอ็ม เป็นผู้ชนะคดี .. แต่ กทพ.ได้ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งอนุญาโตฯ ต่อศาลปกครอง กว่าคดีดังกล่าวจะสิ้นสุดก็เมื่อ “ศาลสูง”ตัดสินเมื่อเดือนก.ย.61 ให้ กทพ.ชดเชย 4.3 พันล้านให้กับเอกชน .. สิ่งที่เกิดขึ้นจึงอาจจะเรียกว่า“ค่าโง่”ได้ไม่เต็มปาก เพราะ“ผู้บริหาร กทพ.”รับรู้อยู่แล้วว่า มีการระบุไว้ว่า “กทพ.จะชดเชยรายได้ค่าผ่านทางส่วนที่ลดลง หรือชดเชยด้วยวิธีการที่คู่สัญญาเห็นว่าเหมาะสม”แต่ไม่ได้ปฏิบัติตาม ... ต่างจาก “ค่าโง่”สารพัดที่เกิดขึ้น จากทั้งมหากาพย์ “โฮปเวลล์–คลองด่าน”ที่ล้วนแต่เกิดจากความไม่ชอบมาพากล และส่อไปในทางทุจริต ของฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการ .. แต่กรณี “ทางด่วนบีอีเอ็ม”นั้นเป็นการทำผิดสัญญา ที่อาจ“รู้เท่าไม่ถึงการณ์”ทั้งการสร้างส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ โดย“กรมทางหลวง” ก็ถือเป็นความหวังดีที่จะให้ประชาชนมีทางสัญจรที่สะดวกขึ้น แต่ก็มากระทบต่อรายได้ของ ทางด่วนอุดรรัถยา ดังที่ศาลตัดสินไปแล้ว เช่นเดียวกับกรณีการไม่ให้ขึ้นค่าผ่านทาง เมื่อปี 2546 ที่ถูกมองว่าเป็น “นโยบายประชานิยม”ของรัฐบาลในขณะนั้น แต่ขณะเดียวกันประชาชนก็ได้ประโยชน์เต็มๆ เช่นกัน ...
อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ตัวว่ากระทำผิดแล้ว“ผู้บริหาร กทพ.”แต่ละยุค กลับเลือกที่จะ“ประวิงเวลา”โดยการยื่นฟ้องต่อศาล มากกว่าจะเจรจาต่อรอง หรือประนีประนอม ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด กรณีนี้จึงสมควรเรียกว่า “ค่าเบี้ยว”มากกว่า “ค่าโง่”อย่างที่เข้าใจกัน .. และพลันที่ “คดีแรก”สิ้นสุด รัฐบาลก็ได้มีมติครม. สั่งการให้ กทพ. เจรจากับเอกชน เพื่อบรรเทาความเสียหาย โดยมีเงื่อนไขสำคัญ“ไม่จ่ายเงินสด”แนบไปด้วย นำมาซึ่งข้อเสนอให้มีการต่อสัญญาสัมปทานที่มีอยู่ ต่อกันออกไปอย่างน้อย 15 ปี ... ซึ่ง “กมธ.บางคน”ก็ตราหน้าว่า “บีอีเอ็ม”จะได้ผลประโยชน์หลายแสนล้าน หากมีการตกลงต่อสัญญาสัมปทาน โดย “แกล้งลืม”ว่าในรายละเอียดร่างสัญญานั้น ยังระบุ“ส่วนแบ่งรายได้”เท่าเดิม คือ กทพ. 60% และ บีอีเอ็ม 40% ..
แต่ก็อีกยังมี“บางฝ่าย”ที่เห็นว่า การต่อสัญญาสัมปทานต่อไปนั้น จะทำให้ กทพ.ได้ประโยชน์น้อยกว่าการนำทางด่วนทั้งหมด กลับมาบริหารเอง จึงคัดค้านการยุติข้อพิพาท และเชียร์ให้ กทพ. สู้คดีทั้งหมดให้ถึงที่สุด .. ทั้งที่ความเป็นจริงการเดินหน้าต่อสู้คดี ก็ไม่ต่างจาก “วิ่งลุยไฟ”ด้วยทิศทางของแต่ละคดี ก็เหมือนเดิม ต่างกันก็เพียงแค่ “ปีพ.ศ.”เท่านั้น อย่างใน “คดีทางแข่งขัน”ที่ศาลตัดสินเป็นที่สุดไปแล้ว 1 คดี มูลค่าชดเชย 4.3 พันล้านบาท ในวงการศาลสถิตยุติธรรม เรียกกันว่า "ยี่ต๊อก" หรือ บทลงโทษที่“ศาลสูง”วางบรรทัดฐานไว้อยู่แล้ว ..
ขณะที่คดีไม่ขึ้นค่าผ่านทางนั้น “คณะอนุญาโตตุลาการ”ได้มีมติเอกฉันท์ชี้ขาด เช่นเดียวกับศาลปกครองกลาง ที่ให้ กทพ.ชดใช้ค่าเสียหาย ก็ถือเป็นแนว“ยี่ต๊อก”ของคดีในส่วนนี้เช่นกัน ...
อย่างที่ระบุไปข้างต้นว่า ขืน กทพ.เลือกที่จะสู้ทุกคดีจนถึงที่สุด และคาดว่าจะสิ้นสุดคดีสุดท้ายในปี 2578 ถึงวันนั้น มูลค่าข้อพิพาทอาจจะเพิ่มจาก 1.37 แสนล้านบาท ไปเป็น 3.26 แสนล้านบาท ยังไม่รวม “ดอกเบี้ย”ที่วิ่งเป็นจรวดทุกวัน ในกรณีที่ยังยื้อไม่ยอมจ่ายตามคำสั่งศาล ... และหากทำให้ “ค่าเบี้ยว”จำนวน 1.37 แสนล้านบาท ที่ต่อรองลงมาได้เกินครึ่ง เหลือเพียง 5.8 หมื่นล้านบาท กลับพลิกขึ้นไปสูงกว่ายอดตั้งต้น หรือ กระฉูดไปถึง 3 แสนกว่าล้าน ก็คงเรียกว่า“ค่าโง่ของจริง”ได้ไม่ผิด
เอาเข้าจริง หากพิจารณาแค่ตัวเลขตั้งต้น 1.37 แสนล้านบาท ที่ กทพ.ใช้ “สาลิกาลิ้นทอง”ต่อรองได้เหลือ 5.88 หมื่นล้านบาท แลกกับสัมปทาน ที่รัฐได้ส่วนแบ่งเท่าเดิม โดยไม่ต้องควักเงินสดที่ไม่พ้นต้องเอาจากภาษีประชาชน ก็เหมือนได้“ป๊อกเก้า”กินรอบวงอยู่แล้ว .. ยังได้ “อีกเด้ง”เมื่อในเงื่อนไขของร่างสัญญาสัมปทานที่ทำไว้ ยังมีเรื่องการสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 หรือ Double Deck จากงามวงศ์วาน ถึงพระราม 9 ระยะทาง 17 กม. ที่อยู่ในแผนแก้ไขปัญหาจราจรทางด่วนของ กทพ. ที่ทาง“บีอีเอ็ม” ต้องรับไปสร้างให้ โดยไม่คิดค่าผ่านทางเพิ่มเติมเสียด้วย มูลค่าไม่มากไม่มาย 3.1 หมื่นล้านบาท เกินครึ่งของยอดค่าชดเชยสุดท้ายที่คุยกันไว้ .. มาถึงขั้นนี้แล้ว หากจะล้มเจรจาทั้งหมด ก็เหมือนเล่นไพ่ได้ “ป๊อกเด้ง”อยู่ดีๆ จู่ๆ ชวนเพื่อนร่วมวง หันไปเล่นดัมมี่ แล้วก็ “ตีโง่”เอาองค์กร-ภาษีประชาชนไปเสี่ยง ตั้ง 3.26 แสนล้านบาท ซะอย่างนั้น .. จนน่าสงสัยว่า ที่เย้วๆ กันอยู่ให้ “สู้ตาย”ออกแนว “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” เป็นเพราะอยาก “ตีโง่”หรือ “แกล้งโง่” หรือมีใครชักใยเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝงทั้งจาก “สหภาพฯ –ฝ่ายการเมือง” หรือ “อดีตบิ๊ก กทพ.”ที่เข้าลือกระหึ่มกันอยู่หรือเปล่า .

** "ความสงบจบที่ลุงตู่" จะปฏิเสธทำไมว่าไม่ได้พูด ก็เดินหน้าสู้พวกทำลายชาติ แล้วยืดอกแบบแมนแมน รับปากให้ชัดไปเลยว่า "ความสงบ" ต้องเกิดในรัฐบาลนี้นี่แหละลุง

การก่อวินาศกรรมวางระเบิดป่วนเมือง ซึ่งเชื่อว่าเป็นฝีมือของวัยรุ่นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ หลังตำรวจควบคุมผู้ต้องสงสัยไว้ได้ 2 คน และกำลังขยายไปสู่ "คนบงการ" ซึ่งถ้ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ดำเนินการ โดยความมุ่งหมายเพื่อต่อสู้ตามอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน ก็จะเป็นความซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเท่ากับปัญหาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ได้ขยายมาถึงเมืองหลวง แต่จนถึงขณะนี้่เชื่อว่าน่าจะมาจากฝีมือการจ้างวานของกลุ่มผู้ไม่พอใจ "อำนาจรัฐ" เสียมากกว่า แต่ยืมมือความเชี่ยวชาญ ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ มาเป็นเครื่องมือ...
เสียงระเบิดตูม !! ไม่นาน ฉาก "ดรามาสาดสี" ใส่กันในโซเชียลมีเดีย ก็เกิดขึ้นทันที มีการกล่าวหาชี้หน้ากันไปมาของคนไทย "สองขั้วการเมือง" ... ด้านหนึ่งกล่าวหาว่า รัฐบาลสร้างสถานการณ์เพื่อถือโอกาส "กระชับอำนาจ" หรือกลบกระแสข่าวการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ... อีกด้านหนึ่งกล่าวหาว่า ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเป็นคนกระทำเพื่อ "ดิสเครดิต"รัฐบาล โดยไม่ได้มีข้อมูล ข้อเท็จจริงมาจากไหน แต่เป็นเรื่องอารมณ์ล้วนๆ ของทั้งสองฝ่าย
อีกดรามาในโซเชียลฯ ที่มาแรงก็คือ การงัดเอาสโลแกนหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐ ที่ว่า "เลือกความสงบจบที่ลุงตู่" เริ่มด้วย "ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส" ผู้สมัครส.ส.สอบตก พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความว่า "เลือกความสงบจบที่ลุงตู่ 555 นกหวีดติดคอหรือยัง #•ระเบิด จนส.ส.สาวขาโจ๋ "ปารีณา ไกรคุปต์” ออกมาโพสต์ข้อความตอบโต้กลับไปอย่างเผ็ดร้อนว่า "ถ้าเลือก...ไม่มีระเบิดใช่ไหม 5566 เขาเลิกเป่านกหวีดนานแล้ว เดินหน้าประเทศไทย #•ไอ้แว่นขี้ข้าทักษิณ" สุดท้าย "ตรีรัตน์" ต้องออกมาขอโทษ เพราะสังคมประณามโห่ฮาว่า นี่เป็นเรื่องความเดือดร้อน ทุกข์ของคนในประเทศ ไม่ใช่เรื่องเอามาล้อเล่นเสียดสีกัน ... ก็เสียรังวัดไปหนึ่งราย
แต่"ลุงตู่" ของเรานะสิ นักข่าวไปถามว่า ตอนหาเสียงพรรคบอกว่า "เลือกความสงบจบที่ลุงตู่" กลับตอบทันทีว่า "ผมไม่ได้เป็นคนพูด เป็นเรื่องของพรรค" ซึ่งไม่เข้าใจว่า "ลุงตู่" จะปฏิเสธไปทำไม เพราะพรรคเขาหาเสียงชู ลุงตู่ มาเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นแหละ ถ้าที่หาเสียงลุงตู่บอกไม่เกี่ยว เรื่องของพรรค แล้วที่หาเสียงอื่นๆ ไว้จะวางใจได้มั้ย... ก็รับปากการันตีไปเลยว่า ผมหมายถึง "ความสงบต้องเกิดขึ้นในยุคของผมนี่แหละ" ส่วนพวกก่อกวนสร้างความเสียหายให้ประเทศจะเป็นใครก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องจัดการนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ลอยนวลเหมือนทุกครั้งเหมือนเช่นที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดในภาคใต้หลายจังหวัด เมื่อปี 2559 ที่จับมือใครดมไม่ได้ แล้วถ้าครั้งนี้ยังจับไม่ได้ ทั้งที่กล้องวงจรปิดเต็มเมืองก็ต้องยอมให้ฝ่ายตรงข้ามเขาเอามาเยาะเย้ยแหละลุง ...

----------
รูป -จิรายุส วรรธนะสิน
- ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา- ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส- ปารีณา ไกรคุปต์
กำลังโหลดความคิดเห็น