ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำทำเนียบขาวที่ใช้คนเปลืองในระดับรัฐมนตรี และที่ปรึกษา หลายคนที่รับใช้ทรัมป์ชนิดทุ่มสุดตัว ผลสุดท้ายต้องประสบชะตากรรมมีทั้งเสื่อมเสียชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ ถึงขั้นเลวร้ายติดคุกสูญเสียอนาคตนั่นเลย
ใครที่ไม่เออออห่อหมกยอมรับแนวคิด ทัศนคติ นโยบาย และพฤติกรรมของทรัมป์ แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างเปิดเผย หรือไม่เดินตามเส้นที่ขีดไว้ ถ้าไม่รีบลาออกก็จะโดนปลดออกอย่างไม่ไว้หน้า คนมีชื่อเสียง ประวัติการทำงานดีเด่นประสบภาวะดังแล้วเดี้ยง
ในรายที่ท่านผู้นำมีความอาฆาตมาดร้าย นอกจากด่าไล่ส่งแล้ว ยังประจานอีกด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกมองว่าเป็นนักโกหกคำโต ปลิ้นปล้อน ไม่มีหลักในการบริหาร
ก่อนหน้านี้มีคนดังเช่นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน และรัฐมนตรีกลาโหม เจมส์ แมตทิส ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เอช. อาร์. แมคมาสเตอร์ ต้องถูกโละทิ้ง หลังจากแต่ละฝ่ายต่างทนกันและกันไม่ได้ ทรัมป์ดูจะเสียหาย แต่ก็รอดมาได้
เหยื่อล่าสุดของการโดนเขี่ยทิ้งคือ แดน โคตส์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งจะต้องออกจากตำแหน่งวันที่ 15 สิงหาคม หลังจากอยู่รอดมาได้กว่า 2 ปี ในสภาพลุ่มๆ ดอนๆ เพราะทรัมป์ได้ประกาศว่าไม่ไว้ใจสำนักข่าวกรองหลักของประเทศ
ทรัมป์ไม่ไว้ใจ ไม่ให้ราคาสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอถ้าจะว่าไปโดยรวมก็คือ บรรดาองค์กรซึ่งมีหน้าที่ด้านข่าวกรองนั่นเอง ทรัมป์ได้เคยพูดเชิงปรามาสประสิทธิภาพ ความสามารถด้านความแม่นยำด้านข่าวกรองก่อนชนะเลือกตั้ง
แดน โคตส์ อายุ 76 ปี เคยเป็นวุฒิสมาชิก และทำหน้าที่เอกอัครราชทูต มีประสบการณ์งานการเมืองยาวนาน ในยุคพรรครีพับลิกันกุมอำนาจในทำเนียบขาว เคยทำงานให้อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้รับการยอมรับกว้างขวาง
มาจอดป้ายในยุคทรัมป์ เพราะมีท่าทีขัดแย้งกับความคิด แนวนโยบายเพราะแดน โคตส์ มองผลประโยชน์งานด้านข่าวกรองความมั่นคงของประเทศมากกว่าจะคอยเอาใจทรัมป์ในนโยบายไม่อยู่ในร่องในรอยของผู้นำทำเนียบขาว สร้างความขุ่นเคืองให้ทรัมป์
ทั้งนโยบายของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย เกาหลีเหนือ จีน และอิหร่าน แดน โคตส์ มักแสดงออกในท่าทีไม่เห็นด้วย ทำให้ทรัมป์ยิ่งไม่ไว้ใจในข้อมูลข่าวกรองของทั้งองค์กรข่าวกรองต่างๆ แม้แต่ผู้อำนวยการซีไอเอคนใหม่ล่าสุดเป็นสตรี ก็ส่อแววว่าอาจอยู่ได้ไม่นาน
ทรัมป์ไม่ยอมรับ เคารพความเป็นมืออาชีพของคนอื่น เอาแต่ใจตัวเอง จนถูกมองว่าบ้าอำนาจ พูดจาไม่ให้เกียรติผู้อื่น มีแนวคิดเหยียดผิว ดูหมิ่นคนด้อยกว่า เช่นผู้ลี้ภัย ล่าสุดมีเรื่องทะเลาะกับคนผิวสี นักการเมืองตรวจสอบทรัมป์เข้มข้น จนเปิดศึกรอบทิศ
คนมาแทน แดน โคตส์คือ ส.ส.สมาชิกสภาคองเกรส พรรครีพับลิกัน จากรัฐเทกซัส ชื่อ จอห์น แรตคลิฟฟ์ เป็นนักการเมืองสายอนุรักษนิยมสุดโต่งอันดับ 2 ในสภาคองเกรส ซึ่งจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับทรัมป์ ในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานข่าวกรองทั้งหมด
สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็นศูนย์รวมของบรรดาหน่วยข่าวกรองขององค์กรอื่นๆ ทั้งซีไอเอ สำนักข่าวกรองความมั่นคง และข่าวกรองของกองทัพ กระทรวงกลาโหมและกระทรวงอื่นๆ และหน่วยงานด้านปราบปรามอาชญากรรม ยาเสพติดและความมั่นคง
รวมทั้งดูแลงานด้านจารกรรม และต่อต้านการจารกรรม มีอำนาจสูงสุด ต้องให้คำปรึกษาประธานาธิบดีทุกเช้า เพื่อให้ผู้นำทำเนียบขาวประกอบการตัดสินใจ
การเลือก จอห์น แรตคลิฟฟ์ เป็นผลจากการที่ทรัมป์ได้เห็นบทบาทการซักไซ้ไล่เลียงอย่างหนักของอัยการพิเศษ โรเบิร์ต มุลเลอร์ ต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทน ในกรณีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันระหว่างทรัมป์และเครือข่ายกับกลุ่มคนรัสเซีย
มีข้อกล่าวหาว่ารัสเซียมีบทบาทในการป้อนข้อมูลลวง ฉกข้อมูลในพรรคเดโมแครตและเปิดเผยทำให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง โดยนางฮิลลารี คลินตันพ่ายอย่างพลิกความคาดหมาย ทรัมป์และกลุ่มธุรกิจครอบครัวถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์กับกลุ่มคนรัสเซีย
จอนห์ แรตคลิฟฟ์ เค้นซักมุลเลอร์อย่างเข้มข้น ทำให้เข้าตาทรัมป์ และยิ่งเป็นพวกมีหัวอนุรักษนิยมสุดโต่งด้วย ก็น่าจะเข้ากันได้ดีกับทรัมป์ ทำให้คนใกล้ชิดวงในทั้งหมดอยู่ในกลุ่มสายเหยี่ยว ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อแนวคิด นโยบาย และการทำงานของทรัมป์
ถือว่าครบหน้าของสายเหยี่ยว ซึ่งรวมรัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ ปอมเปโอ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง จอห์น โบลตัน และรองประธานาธิบดี ไมค์ เพ็นซ์ โลกจะสงบสันติสุข หรือเสี่ยงต่อวิกฤตและภาวะสงคราม ก็ขึ้นอยู่กับคนแวดล้อมของทรัมป์นี่แหละ
จุดเปราะบางสำหรับการปะทะกันด้วยกำลังคือวิกฤตระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน และสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือ ด้านการค้าและการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีนและกับรัสเซีย และจะมีความเสี่ยงสูงกว่าที่เคยเป็นมาคือการยกเลิกข้อตกลงด้านอาวุธกับรัสเซีย
ทรัมป์ได้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซียด้านจรวดติดหัวรบนิวเคลียร์พิสัยกลาง ซึ่งจะมีผลอีกไม่นานจากนี้ ทำไปโดยไม่ฟังที่ปรึกษาฝ่ายการทหาร และความมั่นคง เท่ากับว่าจากนี้ไปจะเปิดช่องทางให้เกิดการแข่งกันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางเต็มที่
ยังเหลือข้อตกลงด้านจรวดติดหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีปเท่านั้น!
ก่อนหน้านี้มีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีศักยภาพพัฒนาจรวดติดหัวรบนิวเคลียร์ จำกัดเฉพาะชาติมหาอำนาจ หลังจากนั้นหลายชาติในเอเชีย เช่น จีน อินเดีย ปากีสถาน เกาหลีเหนือ ก็มีอาวุธนิวเคลียร์ รอดูว่าอิหร่านจะมีเวลาพัฒนาของตัวเองได้หรือไม่
มาดูว่าข้อมูลข่าวกรองที่ทรัมป์จะได้รับและชื่นชอบ จะนำพาโลกไปสู่ภาวะเช่นใด?