xs
xsm
sm
md
lg

ระเบียบโลกใหม่ที่พ้นไปจาก “เผด็จการดอลลาร์”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

นายเครก โคเฮน ผู้บริหารจัดการด้านยุทธศาสตร์ของ JPMorgan
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องหันไปว่ากันเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” อาจจะเหมาะกว่า เพราะเรื่องของการยิงกันไป-ยิงกันมา หรือยึดกันไป-ยึดกันมา ไม่ว่าระหว่างอเมริกา-อังกฤษ-อิหร่าน ไปจนถึงเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ฯลฯ โน่นเลย ส่วนใหญ่...มันมักหนักไปทาง “ขู่กันไป-ขู่กันมา” นั่นแหละเป็นหลัก ซึ่งแม้จะถือเป็นเรื่องดี ที่ยังไม่มีหน้าไหน คิดลงมือ-ลงตีนกันแบบจริงๆ จังๆ แต่คงต้องยอมรับว่า ออกจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อ น่าเอียน อยู่พอสมควร...

แต่สำหรับเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” แล้ว...แม้ยังไม่ถึงกับมีอะไร “ใหม่ๆ” มากนัก แต่การที่สถาบันวาณิชธนกิจ ระดับเบ้อเร่อเหิ่มหรือระดับโลก อย่าง “JPMorgan Chase” เขาได้ออกมา “ฟันธง” แบบชนิดเต็มผืน เต็มด้าม เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว (24 ก.ค.) ว่าสถานะของ “เงินดอลลาร์” ที่เคยครอบงำโลกทั้งโลกมาตลอดช่วง 100 ปีที่แล้ว กำลังใกล้จะสูญเสียสถานะดังกล่าวภายในไม่เกินศตวรรษนี้ หรืออาจภายใน “ทศวรรษหน้า” เอาเลยด้วยซ้ำ อันนี้...ต้องเรียกว่า แม้ไม่ถึงกับ “ใหม่” หรือเป็นสิ่งที่ใครต่อใครเคยพูดๆ กันมานานแล้ว แต่เป็นอะไรที่ออกจะ “ชัดเจน-แจ่มแจ้ง” และคงไม่ได้มีผลแต่เฉพาะในเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” เท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้เป็นตัวอธิบายถึง “ความเปลี่ยนแปลง” ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าเรื่องการเมือง การทหาร ซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล นับจากนี้เป็นต้นไป...

คือผู้ที่ออกมา “ฟันธง” ไปในแนวนี้...ก็คือ “นายเครก โคเฮน” (Craig Cohen) ที่นอกจากจะมีฐานะเป็นผู้บริหารจัดการด้านยุทธศาสตร์ของ “JPMorgan” แล้ว ยังเคยเป็นถึงรองประธาน “The Center for Strategic and International Studies” คลุกคลีอยู่กับเรื่องเงินๆ-ทองๆ เรื่องการค้า การลงทุน ชนิดยังไงๆ คงต้อง “เอียงหูฟัง” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ และสิ่งที่แกหยิบมาใช้เป็นเหตุผลรองรับการ “ฟันธง” ในลักษณะเช่นนี้ ก็ออกจะมี “น้ำหนัก” น่าคิด น่าเชื่ออยู่พอสมควรเหมือนกัน ไม่ว่าจะมองกันในแง่ “โครงสร้าง” ของเงินสกุลดอลลาร์ มองถึง “วงจรอุปสรรค” ที่ทำให้สกุลเงินระหว่างประเทศหลายต่อหลายชนิด ต้องถึงกาลอวสานไปใน “ประวัติศาสตร์การเงิน” แบบชนิด “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไป” อะไรทำนองนั้น...

แต่สิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ...ก็คือการที่แกพยายามหยิบยกมาให้เห็นกันชัดๆ ว่า “ศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก” ในช่วงระยะนี้ มันได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว หรือมันได้เคลื่อนย้ายถ่ายเทมายังภูมิภาค “เอเชีย” อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่คาบสมุทรอาระเบียและตุรกีในทางตะวันตก ไปจนถึงญี่ปุ่นในทางตะวันออก ตั้งแต่เหนือสุดในรัสเซียไปยังใต้สุดในนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย โดยเมื่อนำมามัดรวมกันแล้ว กลายเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีขนาดการเติบโตในระดับ 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก หรือเทียบเท่า 50 เปอร์เซ็นต์ของ “จีดีพีโลก” เอาเลยก็ว่าได้ และโดยแนวโน้มของการซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยน ภายในขอบเขตเศรษฐกิจที่ว่า ที่พร้อมหันมาประกอบธุรกรรมกันโดยไม่คิดอาศัย “เงินดอลลาร์” เป็นตัวกลางมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ย่อมส่งผลให้... “ภายในทศวรรษหน้า เราคิดว่า...เศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนผ่านจากที่เคยมีสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลาง และจากการครอบงำของเงินดอลลาร์ในระบบการเงินโลกมาสู่ระบบใหม่ ที่มีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจในเอเชียเป็นตัวกำหนด” นี่...ต้องเรียกว่าใครที่ยังติดอก ติดใจ ยังคงยึดมั่นอยู่กับ “เงินดอลลาร์” หรืออยู่กับอำนาจอิทธิพลของคุณพ่ออเมริกา น่าจะหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมามั่งแล้ว...

เพราะ “นายเครก โคเฮน” แกยังชี้แนะ ชี้นำ ไว้ด้วยว่า “สำหรับบรรดาธนาคารต่างประเทศทั้งหลาย...คงต้องหาทางจำกัดน้ำหนักของเงินดอลลาร์ในการค้า-ขาย-ลงทุน และการกระจายความเสี่ยง ซึ่งบรรดาแต่ละธนาคารก็ได้ตระหนักถึงแนวโน้มเหล่านี้อยู่บ้างแล้ว การเทขายเงินดอลลาร์แล้วหันมาถือเงินตราสกุลอื่น ไม่ว่ายูโร เยน หยวน และโดยเฉพาะทองคำ จึงปรากฏให้เห็นค่อนข้างชัดเจนในช่วงหลังๆ และอาจเป็นเหตุส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสู่จุดสูงสุด เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา” ซึ่งโดยคำพูด คำจา ที่ว่านี้...ก็ล้วนแล้วแต่มี “ข้อเท็จจริง” รองรับเอาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น และเป็นข้อเท็จจริงที่นับวันจะมาแรง แซงโค้ง มี “อัตราเร่ง” แบบทบเท่าทวีคูณยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่คุณน้ารัสเซีย ซึ่งเทขายเงินดอลลาร์มาโดยตลอด ชนิดแทบไม่เหลือติดเก๊ะไปแล้วก็ว่าได้ โดยหันมาไล่ซื้อ “ทองคำ” ไว้เป็นทุนสำรอง ชนิดปาเข้าไปถึง 2,168.3 ตัน หรือเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 100,277.6 ล้านดอลลาร์ไปเมื่อช่วงวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงกับมีการนำเสนอให้อาศัย “ทองคำ” นี่แหละ เป็นตัวหนุนหลังเงินตราประเภทดิจิทัล หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ “Cryptocurrency” เพื่อขยายขอบเขตการค้า การทำธุรกรรมทางการเงินข้ามพรมแดนกับบรรดาประเทศต่างๆ ให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้...

ไม่ต่างไปจากคุณพี่จีน...ที่พยายามหันมาอาศัยอภิมหาโครงการ “BRI” (Belt and Road Initiative) เป็นเครื่องมือและกลไกในการสร้าง “ระบบการเงินชนิดใหม่” ควบคู่ไปกับร่วมมือในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน การค้าการลงทุนกับบรรดาประเทศที่อยู่ใน “เส้นทางสายไหมใหม่” จนก่อรูป ก่อร่าง เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกับบรรดาประเทศต่างๆ อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนังยิ่งขึ้นทุกที ไม่ว่าการจัดตั้งสาขาสำหรับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ในแถบภาคตะวันตกเฉียงเหนือ โดยมีพื้นที่ “Xinjiang Uyghur Autonomous Region” เป็นศูนย์กลาง เชื่อมบรรดาประเทศในแถบ “เอเชียกลาง” เข้าสู่วงจรของการค้าขาย-แลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องอาศัย “เงินดอลลาร์” แต่หันไปใช้เงินสกุลท้องถิ่น หรือเงินตราสกุลอื่นๆ แทน การจัดตั้งสาขาในพื้นที่แถบ “Heilongjiang” เพื่อเชื่อมโยงประเทศในแถบ “เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ” เข้าสู่วงจรดังกล่าว ไปจนการจัดตั้งศูนย์กลางไว้ในแถบ “Yunnan” “Guangxi Zhuang Autonomous Region” เพื่อดึงดูดบรรดาประเทศใน “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือบรรดาประเทศ “อาเซียน” ทั้งหลาย เข้าสู่วัฏจักรวงจรดังกล่าว หรือเข้าสู่ความยินยอมพร้อมใจ ความสมัครใจที่จะ “ทิ้งเงินดอลลาร์” เพื่อหันไปใช้ระบบการเงินแบบอื่นในการประกอบธุรกรรมทางการค้า ถึงขั้นพร้อมที่จะปรับระบบเงิน “Cryptocurrency” แบบจีนๆ ให้สอดคล้องรองรับกับเงิน “Libra” หรือเงินดิจิทัล ของพวกที่ชอบเล่น “Facebook” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยมีบริษัทค้า-ขายทางอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง “Tencent” และ “Alibaba” คอยเป็นตัว “นำร่อง” ให้ไปสู่ช่วงจังหวะเวลาที่นักเศรษฐกิจของจีน อย่าง “นายXu Weihong” ได้สรุปไว้ใน “Global Times” สื่อทางการของจีนเมื่อช่วงวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า “ถึงเวลาแล้ว...ที่จีนจะสร้างระบบแลกเปลี่ยน-ค้าขายข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเงินหยวน” อะไรประมาณนั้น...

แน่ล่ะว่า...ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำพูด คำทำนายของนักยุทธศาสตร์ด้านการเงิน-การทอง อย่าง “นายเครก โคเฮน” ว่าเอาไว้จริงๆ หรือถ้า “เงินดอลลาร์” อันถือเป็นอาวุธชนิดหนึ่งของอภิมหาอำนาจสูงสุดระดับโลก อย่างคุณพ่ออเมริกา และทรงอานุภาพไม่น้อยไปกว่า “กองทัพอเมริกัน” จำต้องสูญเสียสถานะเดิมๆ ต้องเหี่ยวปลายลงไปภายในไม่เกิน “ทศวรรษข้างหน้า” ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การทหาร หรือแม้แต่ค่านิยมทางสังคม วัฒนธรรม ไปจนเทคโนโลยี ย่อมต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างไม่พึงต้องสัย เพราะ “อวสานเงินดอลลาร์” กับ “อวสานอเมริกา” ต้องถือเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลย...


กำลังโหลดความคิดเห็น