ข่าวปนคน คนปนข่าว
**คดีโรงพักร้าง มาถึงจุดพีก หลังป.ป.ช.มีมติชี้มูล "เทพเทือก" สุเทพ เทือกสุบรรณ ปากกล้าได้พิสูจน์ความจริงกันในศาล ปูดมีคนพยายามให้ไปกราบไหว้ขอจากใครบางคน แต่ไม่ทำเพราะมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่สุนัขรับใช้ **
กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด “เทพเทือก”สุเทพ เทือกสุบรรณ ลุงกำนันของ กกปส. อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะนั้น เรื่องการก่อสร้างสถานีตำรวจ หรือโรงพักทดแทน 396 แห่ง วงเงินกว่า 5.8 พันล้านบาท เรียกกันว่า เป็น“คดีโรงพักร้าง”ที่ฉาวโฉ่ ประจานผลงานในยุคนั้น
"เทพเทือก" บอกว่า ยังไม่ได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช.อย่างเป็นทางการว่าชี้มูลความผิดเรื่องอะไร แต่อ่านตามข่าวจากหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น ยังไม่ทราบเนื้อหารายละเอียด จึงขอให้ได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช.อย่างชัดเจนเสียก่อน แล้วจะชี้แจงในแต่ละประเด็นตามข้อกล่าวหา
ขณะที่ ป.ป.ช. ยังอุบไต๋ โดย "วรวิทย์ สุขบุญ" เลขาธิการ ป.ป.ช. บอกว่า ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงาน ป.ป.ช.ยังไม่แล้วเสร็จ จึงยังไม่สามารถบอกอะไรได้ ถ้าส่งให้อัยการแล้วจะแถลงให้ทราบต่อไป ซึ่งมีหลายเรื่องสำคัญที่จะเปิดเผยหลังจากส่งให้อัยการ
อย่างที่รู้กัน เมื่อวันก่อนที่มีรายงานข่าวจาก ป.ป.ช.ระบุว่า จากการไต่สวนของคณะกรรมการป.ป.ช. พบว่า พบว่า "สุเทพ"ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น ได้สั่งให้เปลี่ยนวิธีการประมูลการจัดสร้างโรงพักทดแทน จากเดิมที่ใช้วิธีแยกประมูลสัญญาเป็นรายภาค มาเป็นรวมศูนย์การประมูลเป็นแห่งเดียวในปี 2552 ทั้งที่เมื่อเสนอเข้า ครม.ไปแล้วถูกทักท้วงจากครม.ขณะนั้น โดยสั่งให้ไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณก่อน แต่นายสุเทพ ไม่ดำเนินการตามที่ถูกทักท้วง โดยยืนยันจะใช้วิธีการประมูลแบบรวมศูนย์ อ้างว่าเป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง ที่อนุญาตให้ทำได้
นอกจากนี้ ที่ประชุม ป.ป.ช. ยังชี้มูลความผิดคดีการอนุมัติโครงการก่อสร้างแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจ 163 แห่งทั่วประเทศ ที่"สุเทพ"เสนอขึ้นมาพร้อมกับคดีโรงพักร้าง ในลักษณะแพ็กคู่ เพราะ เป็นโครงการในลักษณะที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป
เรื่องนี้สังคมให้ความสนใจติดตามมานาน 5 ปีเศษ โปรดอดใจรออย่างระทึกต่อไปอีกสักนิดคงรู้ว่าจะเป็นอย่างไร
ย้อนไปเมื่อปี 2555 ดูที่มาของคดีนี้ เริ่มโดย “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์”อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ขณะนั้นนำมาเปิดเผยในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สมัย"รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ทำให้รัฐบาลตรวจสอบที่มาโครงการพบว่า ริเริ่มสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้นเป็นผู้ลงนามอนุมัติโครงการก่อสร้าง วันที่ 9 มิ.ย.52 วงเงิน 5,800 ล้านบาท ซึ่งเสนอให้มีการทำสัญญาก่อสร้างแยกเป็นรายภาค 9 สัญญา แยกเป็นสถานีตำรวจในพื้นที่ บช.ภ.1-9
แต่ปรากฏว่า ต่อมาอีก 5 เดือน วันที่ 18 พ.ย.52 กลับมีการเสนอให้ทำสัญญาใหม่ จากการแยกเป็นรายภาค ให้รวมศูนย์เป็นสัญญาฉบับเดียว ซึ่ง"สุเทพ" เห็นชอบกับการแก้สัญญาดังกล่าว และให้บริษัทเอกชนเพียงแห่งเดียวเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างโรงพัก เป็นต้นเหตุให้การก่อสร้างเกิดความล่าช้า การก่อสร้างโรงพักหลายแห่งถูกทิ้งร้าง นำไปสู่การที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สมัย "นายธาริต เพ็งดิษฐ์" เป็นอธิบดีดีเอสไอ เข้ามาตรวจสอบ ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ
ที่แน่ๆ ตัวละครหลัก “เทพเทือก”วันนี้ค่อนข้างดุเดือด นอกจากบอกว่า เรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องมีคำอธิบายต่อประชาชน ยังหงุดหงิดกับการถูกหยิบยกไปเป็นประเด็นทางการเมือง กล่าวหาโจมตีเขามานานหลายปี เริ่มตั้งแต่ช่วงที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนที่เป็นตัวตั้งตัวตี กล่าวหา คือ “ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ขณะนั้น ซึ่งได้ดำเนินคดีต่อ นายธาริต ที่ปัจจุบันถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไปแล้ว เมื่อ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลมา ก็เป็นโอกาสที่จะได้นำความจริงทั้งหมดไปพิสูจน์กันตามกระบวนการยุติธรรม แล้วคดีนี้คงใช้เวลาไม่นาน เพราะคดีต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
"ก็ได้แต่ปลง เพราะว่า ก่อนหน้านี้ มีคนพยายามให้ผมไปกราบไหว้ วิงวอน จากใครบางคน ผมก็มาคิดว่าผมทำงานการเมืองมาตลอดเวลา ก็มีศักดิ์ศรี ผมไม่ใช่สุนัข เพราะฉะนั้น ผมตั้งใจอย่างเดียวว่า ถ้าเพื่อประชาชนแล้วจะให้ผมทำอะไรก็ทำได้ แต่ว่าจะไปขอความเมตตาจากคนที่คิดว่ามีอำนาจ ผมไม่ทำ แต่ผมเลือกที่จะพิสูจน์ศักดิ์ศรีด้วยการนำความจริงทั้งหมดไปสู้คดีในศาลฎีกา จะไม่หลบหนีไปไหน เตรียมตัวที่จะสู้คดี เพราะฉะนั้น ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ก็แล้วแต่ ขอเรียนชี้แจงเพียงเท่านี้ เวลาอีกไม่นานก็จะรู้ความจริง"
เขียนแปะข้างฝาไว้ก่อน คงไม่นานจะได้รู้กัน .
**บก.ปอท.รีบแจงไม่ได้ฟอกขาว "ครูบลู" จิรารัตน์ ไลฟ์สด โชว์หวิว ด้วยการกันไว้เป็นพยาน แต่อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานก่อนแจ้งข้อกล่าวหา อย่าได้เข้าใจผิดกันไป
กรณี น.ส.จิรารัตน์ ชานันโท หรือ "ครูบลู" เน็ตไอดอล และ พริตตี้คนดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนให้เข้ากลุ่ม VIP มีการโชว์หวิว โดยเก็บเงินค่าเข้ากลุ่มคนละ 300-500 บาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (4) "นำเข้าข้อมูลลามกอนาจารสู่ระบบฯ" ได้เข้าพบ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ตามหมายเรียก และได้มีการสอบสวนประมาณ 1 ชม.
ตามข่าวบอกว่า หลังการสอบสวน "พ.ต.อ.ศิริวัฒน์" ก็ออกมาแถลง ว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ปอท. ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยน.ส.จิรารัตน์ มาให้ปากคำในฐานะพยาน และนำหลักฐานเกี่ยวกับการไลฟ์สดของตัวเอง มามอบให้พิจารณาตามขั้นตอนกฎหมาย
ภายหลังจากที่ข่าวออกไปว่า พนักงานสอบสวนไม่จับ ไม่แจ้งข้อหาดำเนินคดี "ครูบลู" แต่ถูกกันไว้เป็นพยาน ทำให้เกิดคำถามในสังคมตามมามากมาย โดยเฉพาะในโซเชียลฯ ที่ส่วนใหญ่แสดงความไม่เห็นด้วย ที่พฤติการณ์เช่นนี้ กระทำแล้วไม่ผิด... ทำให้ "พ.ต.อ.ศิริวัฒน์" ต้องออกมาชี้แจงอีกครั้งว่า กระบวนการที่ บก.ปอท.ทำไปนั้น เป็นขั้นตอนตามกฎหมาย โดยพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียก เพื่อให้สิทธิทางฝ่าย น.ส.จิรารัตน์ เข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนก่อน มิได้กันไว้เป็นพยาน หรือไปรับรองว่า สิ่งที่"ครูบลู"ทำไปนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ... หลังจากนี้จะเป็นขั้นตอนรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อพิจารณาว่า เป็นแค่”งานศิลป” อย่างที่เจ้าตัวอ้าง หรือถ้าเข้าข่าย”ลามกอนาจาร” จึงจะเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป และที่ผ่านมา บก.ปอท. ก็ได้ดำเนินคดีกับพวก"เน็ตไอดอล" ที่ทำตัวไม่เหมาะสม นำเข้าข้อมูลที่ผิดกฎหมาย ทั้งข้อมูล ลามกอนาจาร หรือชักชวนเล่นการพนัน ก็มีอยู่หลายคดี ...ก็ขอให้เข้าใจตามนี้ อย่าได้เข้าใจผิดกันไป.
-------
รูป-- สุเทพ เทือกสุบรรณ
น.ส. จิรารัตน์ ชานันโท หรือ "ครูบลู" พบพนักงานสอบสวน บก.ปอท.
**คดีโรงพักร้าง มาถึงจุดพีก หลังป.ป.ช.มีมติชี้มูล "เทพเทือก" สุเทพ เทือกสุบรรณ ปากกล้าได้พิสูจน์ความจริงกันในศาล ปูดมีคนพยายามให้ไปกราบไหว้ขอจากใครบางคน แต่ไม่ทำเพราะมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่สุนัขรับใช้ **
กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด “เทพเทือก”สุเทพ เทือกสุบรรณ ลุงกำนันของ กกปส. อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะนั้น เรื่องการก่อสร้างสถานีตำรวจ หรือโรงพักทดแทน 396 แห่ง วงเงินกว่า 5.8 พันล้านบาท เรียกกันว่า เป็น“คดีโรงพักร้าง”ที่ฉาวโฉ่ ประจานผลงานในยุคนั้น
"เทพเทือก" บอกว่า ยังไม่ได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช.อย่างเป็นทางการว่าชี้มูลความผิดเรื่องอะไร แต่อ่านตามข่าวจากหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น ยังไม่ทราบเนื้อหารายละเอียด จึงขอให้ได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช.อย่างชัดเจนเสียก่อน แล้วจะชี้แจงในแต่ละประเด็นตามข้อกล่าวหา
ขณะที่ ป.ป.ช. ยังอุบไต๋ โดย "วรวิทย์ สุขบุญ" เลขาธิการ ป.ป.ช. บอกว่า ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงาน ป.ป.ช.ยังไม่แล้วเสร็จ จึงยังไม่สามารถบอกอะไรได้ ถ้าส่งให้อัยการแล้วจะแถลงให้ทราบต่อไป ซึ่งมีหลายเรื่องสำคัญที่จะเปิดเผยหลังจากส่งให้อัยการ
อย่างที่รู้กัน เมื่อวันก่อนที่มีรายงานข่าวจาก ป.ป.ช.ระบุว่า จากการไต่สวนของคณะกรรมการป.ป.ช. พบว่า พบว่า "สุเทพ"ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น ได้สั่งให้เปลี่ยนวิธีการประมูลการจัดสร้างโรงพักทดแทน จากเดิมที่ใช้วิธีแยกประมูลสัญญาเป็นรายภาค มาเป็นรวมศูนย์การประมูลเป็นแห่งเดียวในปี 2552 ทั้งที่เมื่อเสนอเข้า ครม.ไปแล้วถูกทักท้วงจากครม.ขณะนั้น โดยสั่งให้ไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณก่อน แต่นายสุเทพ ไม่ดำเนินการตามที่ถูกทักท้วง โดยยืนยันจะใช้วิธีการประมูลแบบรวมศูนย์ อ้างว่าเป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง ที่อนุญาตให้ทำได้
นอกจากนี้ ที่ประชุม ป.ป.ช. ยังชี้มูลความผิดคดีการอนุมัติโครงการก่อสร้างแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจ 163 แห่งทั่วประเทศ ที่"สุเทพ"เสนอขึ้นมาพร้อมกับคดีโรงพักร้าง ในลักษณะแพ็กคู่ เพราะ เป็นโครงการในลักษณะที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป
เรื่องนี้สังคมให้ความสนใจติดตามมานาน 5 ปีเศษ โปรดอดใจรออย่างระทึกต่อไปอีกสักนิดคงรู้ว่าจะเป็นอย่างไร
ย้อนไปเมื่อปี 2555 ดูที่มาของคดีนี้ เริ่มโดย “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์”อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ขณะนั้นนำมาเปิดเผยในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สมัย"รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ทำให้รัฐบาลตรวจสอบที่มาโครงการพบว่า ริเริ่มสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้นเป็นผู้ลงนามอนุมัติโครงการก่อสร้าง วันที่ 9 มิ.ย.52 วงเงิน 5,800 ล้านบาท ซึ่งเสนอให้มีการทำสัญญาก่อสร้างแยกเป็นรายภาค 9 สัญญา แยกเป็นสถานีตำรวจในพื้นที่ บช.ภ.1-9
แต่ปรากฏว่า ต่อมาอีก 5 เดือน วันที่ 18 พ.ย.52 กลับมีการเสนอให้ทำสัญญาใหม่ จากการแยกเป็นรายภาค ให้รวมศูนย์เป็นสัญญาฉบับเดียว ซึ่ง"สุเทพ" เห็นชอบกับการแก้สัญญาดังกล่าว และให้บริษัทเอกชนเพียงแห่งเดียวเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างโรงพัก เป็นต้นเหตุให้การก่อสร้างเกิดความล่าช้า การก่อสร้างโรงพักหลายแห่งถูกทิ้งร้าง นำไปสู่การที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สมัย "นายธาริต เพ็งดิษฐ์" เป็นอธิบดีดีเอสไอ เข้ามาตรวจสอบ ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ
ที่แน่ๆ ตัวละครหลัก “เทพเทือก”วันนี้ค่อนข้างดุเดือด นอกจากบอกว่า เรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องมีคำอธิบายต่อประชาชน ยังหงุดหงิดกับการถูกหยิบยกไปเป็นประเด็นทางการเมือง กล่าวหาโจมตีเขามานานหลายปี เริ่มตั้งแต่ช่วงที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนที่เป็นตัวตั้งตัวตี กล่าวหา คือ “ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ขณะนั้น ซึ่งได้ดำเนินคดีต่อ นายธาริต ที่ปัจจุบันถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไปแล้ว เมื่อ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลมา ก็เป็นโอกาสที่จะได้นำความจริงทั้งหมดไปพิสูจน์กันตามกระบวนการยุติธรรม แล้วคดีนี้คงใช้เวลาไม่นาน เพราะคดีต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
"ก็ได้แต่ปลง เพราะว่า ก่อนหน้านี้ มีคนพยายามให้ผมไปกราบไหว้ วิงวอน จากใครบางคน ผมก็มาคิดว่าผมทำงานการเมืองมาตลอดเวลา ก็มีศักดิ์ศรี ผมไม่ใช่สุนัข เพราะฉะนั้น ผมตั้งใจอย่างเดียวว่า ถ้าเพื่อประชาชนแล้วจะให้ผมทำอะไรก็ทำได้ แต่ว่าจะไปขอความเมตตาจากคนที่คิดว่ามีอำนาจ ผมไม่ทำ แต่ผมเลือกที่จะพิสูจน์ศักดิ์ศรีด้วยการนำความจริงทั้งหมดไปสู้คดีในศาลฎีกา จะไม่หลบหนีไปไหน เตรียมตัวที่จะสู้คดี เพราะฉะนั้น ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ก็แล้วแต่ ขอเรียนชี้แจงเพียงเท่านี้ เวลาอีกไม่นานก็จะรู้ความจริง"
เขียนแปะข้างฝาไว้ก่อน คงไม่นานจะได้รู้กัน .
**บก.ปอท.รีบแจงไม่ได้ฟอกขาว "ครูบลู" จิรารัตน์ ไลฟ์สด โชว์หวิว ด้วยการกันไว้เป็นพยาน แต่อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานก่อนแจ้งข้อกล่าวหา อย่าได้เข้าใจผิดกันไป
กรณี น.ส.จิรารัตน์ ชานันโท หรือ "ครูบลู" เน็ตไอดอล และ พริตตี้คนดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนให้เข้ากลุ่ม VIP มีการโชว์หวิว โดยเก็บเงินค่าเข้ากลุ่มคนละ 300-500 บาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (4) "นำเข้าข้อมูลลามกอนาจารสู่ระบบฯ" ได้เข้าพบ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ตามหมายเรียก และได้มีการสอบสวนประมาณ 1 ชม.
ตามข่าวบอกว่า หลังการสอบสวน "พ.ต.อ.ศิริวัฒน์" ก็ออกมาแถลง ว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ปอท. ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยน.ส.จิรารัตน์ มาให้ปากคำในฐานะพยาน และนำหลักฐานเกี่ยวกับการไลฟ์สดของตัวเอง มามอบให้พิจารณาตามขั้นตอนกฎหมาย
ภายหลังจากที่ข่าวออกไปว่า พนักงานสอบสวนไม่จับ ไม่แจ้งข้อหาดำเนินคดี "ครูบลู" แต่ถูกกันไว้เป็นพยาน ทำให้เกิดคำถามในสังคมตามมามากมาย โดยเฉพาะในโซเชียลฯ ที่ส่วนใหญ่แสดงความไม่เห็นด้วย ที่พฤติการณ์เช่นนี้ กระทำแล้วไม่ผิด... ทำให้ "พ.ต.อ.ศิริวัฒน์" ต้องออกมาชี้แจงอีกครั้งว่า กระบวนการที่ บก.ปอท.ทำไปนั้น เป็นขั้นตอนตามกฎหมาย โดยพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียก เพื่อให้สิทธิทางฝ่าย น.ส.จิรารัตน์ เข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนก่อน มิได้กันไว้เป็นพยาน หรือไปรับรองว่า สิ่งที่"ครูบลู"ทำไปนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ... หลังจากนี้จะเป็นขั้นตอนรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อพิจารณาว่า เป็นแค่”งานศิลป” อย่างที่เจ้าตัวอ้าง หรือถ้าเข้าข่าย”ลามกอนาจาร” จึงจะเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป และที่ผ่านมา บก.ปอท. ก็ได้ดำเนินคดีกับพวก"เน็ตไอดอล" ที่ทำตัวไม่เหมาะสม นำเข้าข้อมูลที่ผิดกฎหมาย ทั้งข้อมูล ลามกอนาจาร หรือชักชวนเล่นการพนัน ก็มีอยู่หลายคดี ...ก็ขอให้เข้าใจตามนี้ อย่าได้เข้าใจผิดกันไป.
-------
รูป-- สุเทพ เทือกสุบรรณ
น.ส. จิรารัตน์ ชานันโท หรือ "ครูบลู" พบพนักงานสอบสวน บก.ปอท.