การแถลงนโยบายรัฐบาล 25-26 กรกฎาคมนี้ ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ทุกสายตาจับจ้องไปที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถ้าพูดอภิปรายพาดพิงจะมีท่าทีอย่างไร จะฟิวส์ขาด น็อตหลุด อารมณ์บูดหรือไม่
แต่พรรคฝ่ายค้านเตรียมแปลงเวทีการแถลงนโยบาย เปลี่ยนเป็นการซักฟอกรัฐบาลไว้แล้ว โดยระดมขุนพลนับสิบชำแหละรัฐมนตรีรายกระทรวง และเป้าหมายสำคัญคือพล.อ.ประยุทธ์
ส่วนพรรคพลังประชารัฐเตรียมการรับมือเหมือนกัน ตั้ง ส.ส.หลายสิบคนทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ และยังไม่รู้ว่า จะมี ส.ว.เสนอหน้าเป็นองครักษ์อีกสักเท่าไหร่
การอภิปรายนโยบายรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน ถือเป็นการชิมลางรัฐบาลใหม่ และทดสอบวุฒิภาวะความเป็นผู้นำตามระบอบประชาธิปไตยของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งคุ้นชินกับการถูกอภิปรายหรือถูกซักฟอกโดยซึ่งหน้า
เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมา อยู่ในฐานะศิลปินเดี่ยว เป็นผู้นำประเทศที่ถือไมค์พูดอยู่คนเดียว โดยไม่มีฝ่ายค้านซักฟอก ตรวจสอบ และไม่มีใครขัดคอ
แต่เมื่อต้องการสืบทอดอำนาจ ยอมมาเป็นผู้นำประเทศตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่มีอำนาจพิเศษเป็นเกราะกำบังตัว ไม่มีกองทัพหนุนหลังอย่างเต็มรูปแบบ และต้องเผชิญกับพรรคฝ่ายค้านที่เตรียม ส.ส.ปากกล้าเต็มอัตราศึก เพื่อชำแหละ จึงมีการตั้งคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์จะรับไหวหรือไม่
ความมั่นใจในตัวเองที่ล้นเปี่ยมยังหลงเหลืออยู่ไหม
การถูกรุมชำแหละในสภาฯ ไม่ใช่เรื่องน่าสนุก ไม่ใช่วาระที่ผู้นำจะทนฟังกันได้ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยหลบการถูกซักฟอกในสภาฯ โดยจัดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อหนีการเข้าประชุมสภาฯ และเป็นผู้นำที่หาเรื่องเดินทางไปต่างประเทศได้ทั้งปีทั้งชาติ จนในที่สุดอาจต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศตลอดชาติ
พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะแสดงความ “ตาขาว” เหมือนนางสาวยิ่งลักษณ์ และน่ามีความละอายแก่ใจในการโดดร่มการประชุมสภาฯ จึงจำเป็นต้องอยู่เผชิญหน้ากับ ส.ส.ฝ่ายค้าน ซึ่งรับฝีปากจองกฐินซักฟอกอยู่
การแถลงนโยบายรัฐบาล ควรเป็นพิธีกรรมที่ราบเรียบ และแม้จะมีการโจมตีพาดพิงกันบ้าง ที่ผ่านมาถือเป็นสีสันการอภิปรายเท่านั้น แต่สำหรับการแถลงนโยบายของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะแตกต่างจากรัฐบาลในอดีต เพราะเป็นการอภิปรายที่ดุเดือดเอาเป็นเอาตาย จนทุกคนไม่อยากพลาดการติดตามชมแม้แต่นาทีเดียว
ลุงตู่ที่อาจเป็นขวัญใจของใครหลายคน เจอศึกหนักแน่ และถือเป็นด่านสำคัญที่จะชี้ชะตาอายุไขของรัฐบาลชุดใหม่
ถ้าพล.อ.ประยุทธ์รับศึกได้ ไม่ตบะแตก ไม่แสดงความเป็นคนเจ้าอารมณ์ ทนการชำแหละได้ ไม่ลุกขึ้นมาอาละวาดกลางสภาฯ จะถือว่าสอบผ่านภาวะความเป็นผู้นำ เรียกคะแนนนิยมได้ และอาจทำให้รัฐบาลอยู่ได้ยาวหน่อย
แต่ถ้าทนฟังการถูกอภิปรายไม่ได้ คุมสติสตางค์ไม่อยู่ หมดราคาภาวะความเป็นผู้นำรัฐบาลชุดใหม่อาจไปเร็วกว่าที่คิด
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เป็นคนเจ้าอารมณ์ จนหลุดอยู่บ่อยๆ และมักแสดงความเกรี้ยวกราด ไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์
การที่ทุกฝ่ายสงบราบคาบ ไม่มีปากมีเสียง และได้แต่ฟังพล.อ.ประยุทธ์พูดอยู่คนเดียวในทุกเรื่อง เพราะมีกองทัพหนุนหลังเต็มตัว
แต่วันนี้เวทีของประชาชนเปิดกว้างแล้ว และเวทีรัฐสภากำลังเปิดการทดสอบภาวะความเป็นผู้นำตามระบอบประชาธิปไตยของพล.อ.ประยุทธ์
สิทธิคุ้มครองการเป็นผู้นำที่ไม่มีใครแตะต้อง ไม่มีพรรคฝ่ายค้านตรวจสอบ ไม่ถูกซักฟอก หมดสิ้นลงแล้ว
การเป็นผู้นำจากการยึดอำนาจ ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องแบกรับแรงกดดันใดๆ มากนัก การบริหารประเทศจะล้มเหลวหรือประสบผลสำเร็จ ไม่มีการประเมินผล
พล.อ.ประยุทธ์ควรเป็นผู้นำประเทศหรือไม่ ประชาชนไม่อาจเลือกได้ เพราะตกอยู่ในภาวะจำยอม
แต่นับจากนาทีแรกของการแถลงนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์จะถูกประเมินผลภาวะความเป็นผู้นำในทันที การแสดงท่าทีในระหว่างการอภิปราย ทั้งสีหน้า อาการ อารมณ์หรือการแถลงใดๆ จะถูกจับจ้องทุกอิริยาบถ เพื่อดูว่า พล.อ.ประยุทธ์ปรับตัวให้สมกับผู้นำตามระบบรัฐสภาหรือไม่
พฤติกรรมที่เคยเป็นมาตลอด 5 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ จะต้องปฏิรูปใหม่หมด ผลงานที่ผ่านมามีหรือไม่ คงไม่ต้องรื้อฟื้น แต่ต่อจากนี้ ต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์อย่างรูปธรรม
หมดเวลาที่จะคุยฟุ้งได้ทุกเรื่อง แต่แทบไม่ได้ลงมือทำสักเรื่องแล้ว
25-26 ก.ค.นี้ บนเวทีการแถลงนโยบายรัฐบาล จะเป็นบทพิสูจน์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ปฏิรูปตัวเองหรือยัง พร้อมจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตามวิถีทางประชาธิปไตยหรือไม่
ทุกคนกำลังเฝ้ารอดูพล.อ.ประยุทธ์บนเวทีในสภาฯ แม้แต่นักลงทุนในตลาดหุ้นยังแทบหยุดความเคลื่อนไหว เพื่อรอดูการแถลงนโยบายรัฐบาล
หุ้นจะขึ้นจะลงก็อยู่ที่ผลการแถลงนโยบายรัฐบาลนี่แหละ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์สอบไม่ผ่าน หุ้นอาจตกระเนนระนาดได้เหมือนกัน