ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เบื้องหลังกมธ.ค่าโง่ทางด่วนวงแตก! “หมอระวี”แก้มติพลการ คืออะไร ? จับตาวาระซ่อนเร้น สู้(คดี)แล้วรวย ? ค้านต่อสัมปทานใครได้ประโยชน์
แบบนี้เรียกว่าโอละพ่อ เสียค่าโง่ซะเองได้หรือไม่ เมื่อการประชุมกมธ.พิจารณาค่าโง่ทางด่วนนัดแรกวงแตก เหตุเพราะ“หมอระวี”นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ในฐานะรองประธาน กมธ. ยอมสารภาพว่า แก้ไขมติโดยพลการ จากที่จะเชิญ 3 ฝ่ายร่วมให้ข้อมูล กลับเชิญแค่ฝ่ายสหภาพการทางฯ
เรื่องใหญ่ซะขนาดนี้ และสังคมกำลังจับตามอง ก็ไม่รู้"หมอระวี" คิดอะไรอยู่
"ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร" ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ พิจารณาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า กมธ.สั่งยุติการประชุม ในวันที่ 23 ก.ค.62 ตามที่เคยกำหนดไว้ในวาระประชุมว่า จะเชิญตัวแทนคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) , ประธานสหภาพการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ ตัวแทนบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM)มาร่วมตรวจสอบข้อมูลที่ บอร์ด กทพ. ขยายสัญญาสัมปทาน 30 ปี เพราะ "นพ.ระวี มาศฉมาดล" รองประธานกมธ.ได้แก้ไขมติที่ประชุมโดยไม่ขอความเห็นของที่ประชุม ในส่วนของการเชิญตัวแทนผู้ชี้แจง จากเดิมที่เชิญ 3 หน่วยงาน เหลือเพียง 1 หน่วยงาน คือ "สหภาพการทางพิเศษแห่งประเทศไทย" เรื่องดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และผิดกฎหมายด้วย
"นพ.ระวี" จึงได้กล่าวขอโทษต่อที่ประชุม บอกว่าเพราะเข้าใจไปเองว่า สามารถแก้ไขเองได้ ทำให้ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่า ต้องแก้ไขระเบียบวาระดังกล่าวให้ถูกต้อง ก่อนจะเลื่อนวาระประชุมดังกล่าวออกไป เป็นวันที่ 24 ก.ค. โดยเชิญผู้ว่าฯกทพ. และ อดีตผู้ว่าฯ กทพ. มาร่วมให้ความเห็นด้วย
สำหรับตัวแทนสหภาพฯ ที่มาชี้แจงพบว่า เป็นคนละกลุ่มกับสหภาพฯ ที่เคยยื่นหนังสือร้องเรียนกับกมธ. ทำให้เข้าใจว่า เรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือไม่.. สืบไปสืบมา ที่แน่ๆไม่เป็นเรื่องที่น่ายินดีของ "หมอระวี" สักเท่าไร เพราะแว่วว่า ตัวแทนสหภาพกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่เห็นต่างกับหมอรวี นั่นล่ะคือ เหตุกมธ.วงแตก
ใครๆ ก็รู้ว่า "หมอระวี" ค้านหัวชนฝา แต่กลุ่มนี้เห็นด้วยกับบอร์ดกทพ. ที่เจรจาหาข้อยุติคดีพิพาทที่มูลค่า จาก 1.37 แสนล้าน จะพุ่งพรวดไปอีกมหาศาลหากสู้กันกับเอกชนที่ยังคดียังค้างคาอยู่
มูลค่าพิพาทนี้ ที่สุดแล้วหนีไม่พ้นคือภาระหนี้หัวโตของกทพ. และ เงินภาษีชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ เอาไปแบกรับ
ข้ออ้างค้านต่อผลการเจรจาเดิมของรัฐบาลคสช. โดยยกความรู้สึกว่า รู้ได้ยังไงว่ากทพ.จะแพ้คดี นั้นพิสูจน์ได้ว่า "มีวาระซ่อนเร้นอะไรอยู่" ทั้งที่ไม่ดูความจริงเลยว่า กทพ.เบี้ยวสัญญาเอกชน ... คนในการทางพิเศษเวลานี้กำลังเมาต์กันหนักถึงสาเหตุที่ สหภาพฯอีกฝ่ายที่ค้านไปในทางหมอระวี หรืออีกทางคือ ใช้หมอระวี เป็นกระบอกเสียงนั้น มีความต้องการให้พลิกผลการเจรจาเดิม
เขาถกเถียงกันว่า ใช่หรือไม่ว่า หนึ่งนั้น เพราะกลัวจะต้องรับผิดจากคดีที่แพ้ และจะแพ้ในอนาคต จึงจะยื้อสู้ไปทุกคดี มีผู้บริหารเก่าอยู่เบื้องหลังหรือไม่...ได้หนาวๆร้อนๆ กันแน่
สอง ต้องการยึดสัมปทานมาทำเอง เพื่อหาประโยชน์ จัดซื้อจัดจ้างเอง ไม่แคร์ว่าประสิทธิภาพแย่ ทุกวันนี้ทางด่วนที่การทางทำเอง เป็นหลุมเป็นบ่อ น้ำขัง ไม่เคยปรับปรุง ดูแลสวัสดิการพนักงาน แย่มากๆ
อื่นๆ เป็นไปได้ว่าหวังจะตั้งคนของตัวเองมาดูแลองค์กร
และที่น่ากลัวที่สุดคือ ไม่แคร์จะแพ้เท่าไร 1.37 แสนล้าน จะบานไปถึง 3 แสนกว่าล้าน ถึงเวลาก็ขอรัฐสนับสนุน ใช้เงินประชาชน อ้างว่าคดีเกิดจากการเมืองสั่ง !
ลำพังการที่รัฐบาลถอนขนห่านเอาภาษีจากประชาชนแบกรับภาระค่าเสียหายแก่ บริษัท โฮปเวลล์(ประเทศไทย) จำกัด เป็นจำนวนเงิน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ซึ่งมูลค่ารวมอาจสูงถึง 58,000 ล้านบาท ก็หนักหนาสาหัสมากแล้ว
จริงอยู่ที่ว่า ตามที่หมอระวี เคยว่าไว้ก่อนนี้ วันนี้ยังไม่มีการตัดสินครบทุกข้อพิพาท และทุกคดี แต่ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหากถึงวันนั้น ? การตัดสินใจหาทางออก“ค่าละเมิดสัญญา”หรือ “ค่าเสียหายจากข้อพิพาท”จะต้องมิใช่ภาระของ ลูก หลาน เหลน ของพวกเราในวันข้างหน้า
เมื่อกมธ.แก้ไข เรื่อง"หมอระวี" แอบแก้มติโดยพลการนี้ แล้วให้ทุกฝ่ายได้มาเจรจาหาเหตุผลกันจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ... ขอฝากถึงกรรมาธิการฯ ว่า ท่านสามารถเลือกเจรจาต่อรองให้ประเทศและประชาชนได้รับประโยชน์จากการหาทางออกสัมปทานทางด่วน ดีกว่าปล่อยให้ความเสียหายเป็นภาระของคนรุ่นลูก รุ่นหลาน
เหมือนทุกวันนี้ ที่ภาษีของหลายคน จะถูกนำไปชดใช้ "โฮปเวลล์" ทั้งๆ ที่ตอนตอกเสาโครงการ เขาหลายคนอาจยังไม่ลืมตาดูโลกเลยด้วยซ้ำ
**ฝ่ายค้านซักฟอกนอกสภา เรื่อง"ลุงป้อม" ใช้ ฮ.ของทางราชการ ไปสัมมนาพรรคพลังประชารัฐ ที่รีสอร์ต วังน้ำเขียว แถมรีสอร์ตแห่งนี้ ก็บุกรุกที่อุทยานฯด้วย จะเอาเรื่องเอาราวกันถึงขั้นยุบพรรค ...แต่สุดท้าย ไม่ระคายผิว
ฝ่ายค้านเปิดประเด็น"ซักฟอกนอกสภา" เป็นการโหมโรงก่อนถึงวันจริงที่จะอภิปรายนโยบายรัฐบาล โดย"อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด" โฆษกพรรคเพื่อไทย จับเอาเหตุการณ์ ที่ "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปปิดการสัมมนา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ "88 การ์มองเต้" รีสอร์ต อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา โดยบอกว่า"ลุงป้อม" นั่งเฮลิคอปเตอร์ จากกรุงเทพฯไปที่ยังค่ายสุรนารี จากนั้น นั่งรถเบนซ์กันกระสุน ดิ่งไปที่ รีสอร์ต ที่พรรคพลังประชารัฐจัดสัมมนา เป็นการใช้เฮลิคอปเตอร์ของทางราชการ ไปเพื่องานของพรรคการเมือง แถมรีสอร์ต ที่ไปจัดสัมมนากันนั้นก็รุกพื้นที่อุทยาน ถูกจับมาแล้ว 2 ครั้ง ตอนนี้ก็ยังเป็นคดีความกันอยู่ ถือว่าเป็นการให้ท้ายกลุ่มทุนที่บุกรุกป่า
เรื่องนี้ "ลุงป้อม" ออกมาโต้กลับทันทีโดยไม่ต้องพึ่ง "องครักษ์พิทักษ์ลุงป้อม" ว่า เป็นเรื่อง"มโน" เพราะนั่งรถยนต์ออกจากบ้านตั้งแต่ ตี 5นั่งรถตลอด ทั้งขาไป ขากลับ ใช้เวลาตั้ง 6 ชั่วโมง ไม่ได้นั่ง ฮ.อย่างที่ถูกเอามาโจมตีซะหน่อย
ส่วนเรื่องพรรคพลังประชารัฐ ไปจัดสัมมนาที่ รีสอร์ต บุกรุกที่อุทยานฯ นั้น พอมีคนออกมาเปิดประเด็น "พี่ศรี" ศรีสุวรรณ จรรยา "นักร้องคนดัง" ก็โดดมารับลูกทันที บอกว่า วันนี้ จะไปร้องกกต.ให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา "ยุบพรรคพลังประชารัฐ" เพราะถือว่าไปส่งเสริมให้ สนับสนุนให้นายทุนรุกป่า อันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ซึ่งต้องห้ามตาม มาตรา 45 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มีความผิดตาม มาตรา 92(3) ศาลรธน. สามารถสั่งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐได้...
ร้อนถึง "สมศักดิ์ พันธ์เกษม" ส.ส.โคราช พรรคพปชร. เจ้าของพื้นที่ ต้องรีบออกมาชี้ แจงว่า คนจัดหาสถานที่เอง แล้รู้ปัญหานี้อยู่แล้ว แต่ก็ตั้งใจ ที่จะพาส.ส.ไปประชุมที่นี่ เพราะต้องการทำให้เกิดกระแส เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประชาชน กว่า 2.4 ล้านคน ที่ประสบปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินระหว่างรัฐ กับราษฎร ซึ่ง อ.วังน้ำเขียว เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ประสบปัญหานี้
ที่ผ่านมา เมื่อปี 55 กรมอุทยาแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เข้าจับกุม ตรวจยึด ทุบทำลาย ทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างของราษฎร ทั้งที่มีอยู่เดิม และเข้ามาอยู่ใหม่ โดยอ้างว่าบุกรุกพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ทั้งที่ชาวบ้านได้อยู่อาศัยมาก่อนที่จะมีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งไปถึงชั้นอัยการ ก็ไม่มีการสั่งฟ้อง จนกระทั่งปี 60 มีการจับกุมซ้ำ ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด ก็ต้องถือว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จะไปกล่าวหาว่าเขาผิดไม่ได้ เพราะคนที่จะบอกว่าผิด คือศาล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ...ถ้าบอกว่ารีสอร์ตผิด แปลว่า โรงพยาบาล อ.วังน้ำเขียวก็ผิด ตลาดก็ผิด ธนาคาร และร้านค้า ก็ต้องผิดกันหมด
ขณะที่ "วราวุธ ศิลปอาชา" รัฐมนตรีใหม่ป้ายแดง เจ้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็รีบสั่งการให้กรมอุทยานฯ ตรวจสอบและส่งข้อมูลมาให้ดู เพื่อศึกษารายละเอียด เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายเสร็จแล้ว จะรีบจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนโดยเฉพาะ เพื่อแก้ไขปัญหาลักษณะนี้ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ และเห็นว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่ความผิดของพรรคการเมืองที่ไปใช้บริการของรีสอร์ต โดยพูดในเชิงเปรียบเทียบว่า ต่อไปนี้ ถ้าจะไปกินข้าวที่ไหน ต้องคอยเช็กหรือเปล่าว่า เจ้าของร้านเปิดร้านถูกต้องตามระเบียบ หรือไม่ มีใบอนุญาตครบหรือปล่าว ถ้าจะมาเอาผิดกับคนที่ไปใช้บริการ
เมื่อเรื่องร้อนขนาดนี้ ถึงกับจะยุบพรรคแกนนำรัฐบาลกันเลยทีเดียว "ธัญญา เนติธรรมกุล" อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องรีบออกมาชี้แจง ว่า พื้นที่ดังกล่าว อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานทั้งแปลง และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแก่ง ดินสอ ป่าแก่งใหญ่ และ ป่าเขาสะโตน ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 239 (พ.ศ. 2510) กฎกระทรวง ฉบับที่ 812 (พ.ศ. 2521) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 895 (พ.ศ. 2523) ซึ่งกรมป่าไม้ ไม่เคยมอบพื้นที่ดังกล่าวให้ส.ป.ก. เข้าไปดำเนินการปฏิรูป และพื้นที่ดังกล่าวมิได้อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ส.ป.ก. ตามประกาศพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตที่ดินฯ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2521 แต่อย่างใด
แต่เมื่อให้เจ้าหน้าที่ ประสานไปยัง สถานีตำรวจภูธรวังน้ำเขียว ซึ่งเป็นต้นทางของคดี ก็ทราบว่า อัยการเจ้าของสำนวนคดี ได้มีความเห็น"สั่งไม่ฟ้อง" ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว และแจ้งเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องมายังสถานีตารวจภูธรวังน้ำเขียว เมื่อวันที่ 7 พ.ย.61 แต่บังเอิญว่า ทางสถานีตำรวจภูธรวังน้ำเขียว ก็ไม่ได้แจ้งให้ ทางอุทยานแห่งชาติทับลาน รับทราบ... และเมื่อไปตรวจสอบถึงเหตุผล ที่อัยการมีคำสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้อง เนื่องจากสำนักงานส.ป.ก. จ.นครราชสีมา ได้ให้ข้อมูลต่ออัยการ ว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2521
สุดท้ายเรื่องการ "ซักฟอกนอกสภา" ก็เลยยังไม่ระคายผิวรัฐบาล
---------
รูป- นพ.ระวี มาศฉมาดล
-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ -อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด-สมศักดิ์ พันธ์เกษม-ธัญญา เนติธรรมกุล
**เบื้องหลังกมธ.ค่าโง่ทางด่วนวงแตก! “หมอระวี”แก้มติพลการ คืออะไร ? จับตาวาระซ่อนเร้น สู้(คดี)แล้วรวย ? ค้านต่อสัมปทานใครได้ประโยชน์
แบบนี้เรียกว่าโอละพ่อ เสียค่าโง่ซะเองได้หรือไม่ เมื่อการประชุมกมธ.พิจารณาค่าโง่ทางด่วนนัดแรกวงแตก เหตุเพราะ“หมอระวี”นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ในฐานะรองประธาน กมธ. ยอมสารภาพว่า แก้ไขมติโดยพลการ จากที่จะเชิญ 3 ฝ่ายร่วมให้ข้อมูล กลับเชิญแค่ฝ่ายสหภาพการทางฯ
เรื่องใหญ่ซะขนาดนี้ และสังคมกำลังจับตามอง ก็ไม่รู้"หมอระวี" คิดอะไรอยู่
"ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร" ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ พิจารณาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า กมธ.สั่งยุติการประชุม ในวันที่ 23 ก.ค.62 ตามที่เคยกำหนดไว้ในวาระประชุมว่า จะเชิญตัวแทนคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) , ประธานสหภาพการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ ตัวแทนบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BEM)มาร่วมตรวจสอบข้อมูลที่ บอร์ด กทพ. ขยายสัญญาสัมปทาน 30 ปี เพราะ "นพ.ระวี มาศฉมาดล" รองประธานกมธ.ได้แก้ไขมติที่ประชุมโดยไม่ขอความเห็นของที่ประชุม ในส่วนของการเชิญตัวแทนผู้ชี้แจง จากเดิมที่เชิญ 3 หน่วยงาน เหลือเพียง 1 หน่วยงาน คือ "สหภาพการทางพิเศษแห่งประเทศไทย" เรื่องดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และผิดกฎหมายด้วย
"นพ.ระวี" จึงได้กล่าวขอโทษต่อที่ประชุม บอกว่าเพราะเข้าใจไปเองว่า สามารถแก้ไขเองได้ ทำให้ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่า ต้องแก้ไขระเบียบวาระดังกล่าวให้ถูกต้อง ก่อนจะเลื่อนวาระประชุมดังกล่าวออกไป เป็นวันที่ 24 ก.ค. โดยเชิญผู้ว่าฯกทพ. และ อดีตผู้ว่าฯ กทพ. มาร่วมให้ความเห็นด้วย
สำหรับตัวแทนสหภาพฯ ที่มาชี้แจงพบว่า เป็นคนละกลุ่มกับสหภาพฯ ที่เคยยื่นหนังสือร้องเรียนกับกมธ. ทำให้เข้าใจว่า เรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือไม่.. สืบไปสืบมา ที่แน่ๆไม่เป็นเรื่องที่น่ายินดีของ "หมอระวี" สักเท่าไร เพราะแว่วว่า ตัวแทนสหภาพกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่เห็นต่างกับหมอรวี นั่นล่ะคือ เหตุกมธ.วงแตก
ใครๆ ก็รู้ว่า "หมอระวี" ค้านหัวชนฝา แต่กลุ่มนี้เห็นด้วยกับบอร์ดกทพ. ที่เจรจาหาข้อยุติคดีพิพาทที่มูลค่า จาก 1.37 แสนล้าน จะพุ่งพรวดไปอีกมหาศาลหากสู้กันกับเอกชนที่ยังคดียังค้างคาอยู่
มูลค่าพิพาทนี้ ที่สุดแล้วหนีไม่พ้นคือภาระหนี้หัวโตของกทพ. และ เงินภาษีชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ เอาไปแบกรับ
ข้ออ้างค้านต่อผลการเจรจาเดิมของรัฐบาลคสช. โดยยกความรู้สึกว่า รู้ได้ยังไงว่ากทพ.จะแพ้คดี นั้นพิสูจน์ได้ว่า "มีวาระซ่อนเร้นอะไรอยู่" ทั้งที่ไม่ดูความจริงเลยว่า กทพ.เบี้ยวสัญญาเอกชน ... คนในการทางพิเศษเวลานี้กำลังเมาต์กันหนักถึงสาเหตุที่ สหภาพฯอีกฝ่ายที่ค้านไปในทางหมอระวี หรืออีกทางคือ ใช้หมอระวี เป็นกระบอกเสียงนั้น มีความต้องการให้พลิกผลการเจรจาเดิม
เขาถกเถียงกันว่า ใช่หรือไม่ว่า หนึ่งนั้น เพราะกลัวจะต้องรับผิดจากคดีที่แพ้ และจะแพ้ในอนาคต จึงจะยื้อสู้ไปทุกคดี มีผู้บริหารเก่าอยู่เบื้องหลังหรือไม่...ได้หนาวๆร้อนๆ กันแน่
สอง ต้องการยึดสัมปทานมาทำเอง เพื่อหาประโยชน์ จัดซื้อจัดจ้างเอง ไม่แคร์ว่าประสิทธิภาพแย่ ทุกวันนี้ทางด่วนที่การทางทำเอง เป็นหลุมเป็นบ่อ น้ำขัง ไม่เคยปรับปรุง ดูแลสวัสดิการพนักงาน แย่มากๆ
อื่นๆ เป็นไปได้ว่าหวังจะตั้งคนของตัวเองมาดูแลองค์กร
และที่น่ากลัวที่สุดคือ ไม่แคร์จะแพ้เท่าไร 1.37 แสนล้าน จะบานไปถึง 3 แสนกว่าล้าน ถึงเวลาก็ขอรัฐสนับสนุน ใช้เงินประชาชน อ้างว่าคดีเกิดจากการเมืองสั่ง !
ลำพังการที่รัฐบาลถอนขนห่านเอาภาษีจากประชาชนแบกรับภาระค่าเสียหายแก่ บริษัท โฮปเวลล์(ประเทศไทย) จำกัด เป็นจำนวนเงิน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ซึ่งมูลค่ารวมอาจสูงถึง 58,000 ล้านบาท ก็หนักหนาสาหัสมากแล้ว
จริงอยู่ที่ว่า ตามที่หมอระวี เคยว่าไว้ก่อนนี้ วันนี้ยังไม่มีการตัดสินครบทุกข้อพิพาท และทุกคดี แต่ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหากถึงวันนั้น ? การตัดสินใจหาทางออก“ค่าละเมิดสัญญา”หรือ “ค่าเสียหายจากข้อพิพาท”จะต้องมิใช่ภาระของ ลูก หลาน เหลน ของพวกเราในวันข้างหน้า
เมื่อกมธ.แก้ไข เรื่อง"หมอระวี" แอบแก้มติโดยพลการนี้ แล้วให้ทุกฝ่ายได้มาเจรจาหาเหตุผลกันจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ... ขอฝากถึงกรรมาธิการฯ ว่า ท่านสามารถเลือกเจรจาต่อรองให้ประเทศและประชาชนได้รับประโยชน์จากการหาทางออกสัมปทานทางด่วน ดีกว่าปล่อยให้ความเสียหายเป็นภาระของคนรุ่นลูก รุ่นหลาน
เหมือนทุกวันนี้ ที่ภาษีของหลายคน จะถูกนำไปชดใช้ "โฮปเวลล์" ทั้งๆ ที่ตอนตอกเสาโครงการ เขาหลายคนอาจยังไม่ลืมตาดูโลกเลยด้วยซ้ำ
**ฝ่ายค้านซักฟอกนอกสภา เรื่อง"ลุงป้อม" ใช้ ฮ.ของทางราชการ ไปสัมมนาพรรคพลังประชารัฐ ที่รีสอร์ต วังน้ำเขียว แถมรีสอร์ตแห่งนี้ ก็บุกรุกที่อุทยานฯด้วย จะเอาเรื่องเอาราวกันถึงขั้นยุบพรรค ...แต่สุดท้าย ไม่ระคายผิว
ฝ่ายค้านเปิดประเด็น"ซักฟอกนอกสภา" เป็นการโหมโรงก่อนถึงวันจริงที่จะอภิปรายนโยบายรัฐบาล โดย"อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด" โฆษกพรรคเพื่อไทย จับเอาเหตุการณ์ ที่ "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปปิดการสัมมนา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ "88 การ์มองเต้" รีสอร์ต อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา โดยบอกว่า"ลุงป้อม" นั่งเฮลิคอปเตอร์ จากกรุงเทพฯไปที่ยังค่ายสุรนารี จากนั้น นั่งรถเบนซ์กันกระสุน ดิ่งไปที่ รีสอร์ต ที่พรรคพลังประชารัฐจัดสัมมนา เป็นการใช้เฮลิคอปเตอร์ของทางราชการ ไปเพื่องานของพรรคการเมือง แถมรีสอร์ต ที่ไปจัดสัมมนากันนั้นก็รุกพื้นที่อุทยาน ถูกจับมาแล้ว 2 ครั้ง ตอนนี้ก็ยังเป็นคดีความกันอยู่ ถือว่าเป็นการให้ท้ายกลุ่มทุนที่บุกรุกป่า
เรื่องนี้ "ลุงป้อม" ออกมาโต้กลับทันทีโดยไม่ต้องพึ่ง "องครักษ์พิทักษ์ลุงป้อม" ว่า เป็นเรื่อง"มโน" เพราะนั่งรถยนต์ออกจากบ้านตั้งแต่ ตี 5นั่งรถตลอด ทั้งขาไป ขากลับ ใช้เวลาตั้ง 6 ชั่วโมง ไม่ได้นั่ง ฮ.อย่างที่ถูกเอามาโจมตีซะหน่อย
ส่วนเรื่องพรรคพลังประชารัฐ ไปจัดสัมมนาที่ รีสอร์ต บุกรุกที่อุทยานฯ นั้น พอมีคนออกมาเปิดประเด็น "พี่ศรี" ศรีสุวรรณ จรรยา "นักร้องคนดัง" ก็โดดมารับลูกทันที บอกว่า วันนี้ จะไปร้องกกต.ให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา "ยุบพรรคพลังประชารัฐ" เพราะถือว่าไปส่งเสริมให้ สนับสนุนให้นายทุนรุกป่า อันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ซึ่งต้องห้ามตาม มาตรา 45 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มีความผิดตาม มาตรา 92(3) ศาลรธน. สามารถสั่งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐได้...
ร้อนถึง "สมศักดิ์ พันธ์เกษม" ส.ส.โคราช พรรคพปชร. เจ้าของพื้นที่ ต้องรีบออกมาชี้ แจงว่า คนจัดหาสถานที่เอง แล้รู้ปัญหานี้อยู่แล้ว แต่ก็ตั้งใจ ที่จะพาส.ส.ไปประชุมที่นี่ เพราะต้องการทำให้เกิดกระแส เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประชาชน กว่า 2.4 ล้านคน ที่ประสบปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินระหว่างรัฐ กับราษฎร ซึ่ง อ.วังน้ำเขียว เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ประสบปัญหานี้
ที่ผ่านมา เมื่อปี 55 กรมอุทยาแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เข้าจับกุม ตรวจยึด ทุบทำลาย ทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างของราษฎร ทั้งที่มีอยู่เดิม และเข้ามาอยู่ใหม่ โดยอ้างว่าบุกรุกพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ทั้งที่ชาวบ้านได้อยู่อาศัยมาก่อนที่จะมีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งไปถึงชั้นอัยการ ก็ไม่มีการสั่งฟ้อง จนกระทั่งปี 60 มีการจับกุมซ้ำ ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด ก็ต้องถือว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จะไปกล่าวหาว่าเขาผิดไม่ได้ เพราะคนที่จะบอกว่าผิด คือศาล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ...ถ้าบอกว่ารีสอร์ตผิด แปลว่า โรงพยาบาล อ.วังน้ำเขียวก็ผิด ตลาดก็ผิด ธนาคาร และร้านค้า ก็ต้องผิดกันหมด
ขณะที่ "วราวุธ ศิลปอาชา" รัฐมนตรีใหม่ป้ายแดง เจ้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็รีบสั่งการให้กรมอุทยานฯ ตรวจสอบและส่งข้อมูลมาให้ดู เพื่อศึกษารายละเอียด เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายเสร็จแล้ว จะรีบจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนโดยเฉพาะ เพื่อแก้ไขปัญหาลักษณะนี้ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ และเห็นว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่ความผิดของพรรคการเมืองที่ไปใช้บริการของรีสอร์ต โดยพูดในเชิงเปรียบเทียบว่า ต่อไปนี้ ถ้าจะไปกินข้าวที่ไหน ต้องคอยเช็กหรือเปล่าว่า เจ้าของร้านเปิดร้านถูกต้องตามระเบียบ หรือไม่ มีใบอนุญาตครบหรือปล่าว ถ้าจะมาเอาผิดกับคนที่ไปใช้บริการ
เมื่อเรื่องร้อนขนาดนี้ ถึงกับจะยุบพรรคแกนนำรัฐบาลกันเลยทีเดียว "ธัญญา เนติธรรมกุล" อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องรีบออกมาชี้แจง ว่า พื้นที่ดังกล่าว อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานทั้งแปลง และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแก่ง ดินสอ ป่าแก่งใหญ่ และ ป่าเขาสะโตน ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 239 (พ.ศ. 2510) กฎกระทรวง ฉบับที่ 812 (พ.ศ. 2521) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 895 (พ.ศ. 2523) ซึ่งกรมป่าไม้ ไม่เคยมอบพื้นที่ดังกล่าวให้ส.ป.ก. เข้าไปดำเนินการปฏิรูป และพื้นที่ดังกล่าวมิได้อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ส.ป.ก. ตามประกาศพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตที่ดินฯ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2521 แต่อย่างใด
แต่เมื่อให้เจ้าหน้าที่ ประสานไปยัง สถานีตำรวจภูธรวังน้ำเขียว ซึ่งเป็นต้นทางของคดี ก็ทราบว่า อัยการเจ้าของสำนวนคดี ได้มีความเห็น"สั่งไม่ฟ้อง" ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว และแจ้งเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องมายังสถานีตารวจภูธรวังน้ำเขียว เมื่อวันที่ 7 พ.ย.61 แต่บังเอิญว่า ทางสถานีตำรวจภูธรวังน้ำเขียว ก็ไม่ได้แจ้งให้ ทางอุทยานแห่งชาติทับลาน รับทราบ... และเมื่อไปตรวจสอบถึงเหตุผล ที่อัยการมีคำสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้อง เนื่องจากสำนักงานส.ป.ก. จ.นครราชสีมา ได้ให้ข้อมูลต่ออัยการ ว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2521
สุดท้ายเรื่องการ "ซักฟอกนอกสภา" ก็เลยยังไม่ระคายผิวรัฐบาล
---------
รูป- นพ.ระวี มาศฉมาดล
-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ -อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด-สมศักดิ์ พันธ์เกษม-ธัญญา เนติธรรมกุล