สงสัยวันนี้...คงต้องวนไป-วนมาอยู่แถวๆ เกาะอังกฤษกันอีกนั่นแหละทั่น เพราะจากกรณี “การยึดเรือ” กันไป-กันมา ระหว่างอังกฤษกับอิหร่าน ดูๆ จะส่งผลให้อดีตอภิมหาอำนาจซึ่งเคยได้ชื่อฉายาว่า “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” น่าจะออกอาการ “เสียหมา” หรือ “เสียสุนัข(พูเดิล)” กันไปมิใช่น้อย ไม่ว่า “นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่” จะเป็นใครก็แล้วแต่...
คืองานนี้...ต้องเรียกว่า ตั้งแต่ระดับรัฐบาล รัฐมนตรี ไปจนถึง “สื่อฯ” ต่างๆ เช่น สำนักข่าว “BBC” หรือหนังสือพิมพ์แทบลอยด์อย่าง “Sunday Mirror” ฯลฯ ต่างพยายามไถๆ แถกๆ เพื่อหาทาง “เอาตัวรอด” จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ คำตำหนิติติง ทั้งในระดับโลก และในหมู่ “ผู้ดีอังกฤษ” ด้วยกันเอง ชนิดน่าอเนจอนาถน่าเวทนาเอามากๆ เพราะการถูกลาก ถูกดึงให้ต้องเล่นบทเป็น “สุนัขตำรวจ(โลก)” โดยคุณพ่ออเมริกา จนถึงกับจัดส่งนาวิกโยธินอังกฤษไปยึดเรือน้ำมัน “Grace-1” ของอิหร่าน เมื่อช่วงวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่เมื่อเจอลูกโต้ เจอแผนการเล่นแบบสวนกลับ หรือ “เคาน์เตอร์ แอทแทค” ของอิหร่าน ด้วยการยึดเรือ “MT Riah” เป็นอันดับแรก ตามด้วยการยึดเรือ “Stena Impero” เป็นลำดับต่อมา ผลสกอร์ที่ออกมาประมาณ 2-1 โดยไม่ทดเวลาบาดเจ็บ และไม่นับควบลูกครึ่งเช่นนี้ เล่นเอาแฟนบอล “พรีเมียร์ ลีค” ออกอาการหงอยอาการกร่อย ไปตามๆ กัน...
เพราะไม่ว่าจะดูจากเหตุผล-ข้ออ้าง หรือดูจากขีดความสามารถในการตอบโต้ เล่นงานระหว่างกันและกัน โดยลักษณะอาการของรัฐบาลอังกฤษ น่าจะออกไปทาง “ลิเวอร์พรุน(พูล)” อะไรประมาณนั้น ไม่ว่าการอ้างเหตุที่ต้องยึดเรือ “Grace-1” ของอิหร่าน เพราะจะเอาน้ำมันไปส่งให้ซีเรีย อันเป็นประเทศที่อยู่ในข่ายถูก “แซงชั่น” โดยความเห็นพ้องของอียู แต่ปรากฏว่าไม่มีประเทศใดในอียู ที่เห็นควรด้วยกับการกระทำในลักษณะเช่นนี้ หรือกลายเป็นข้ออ้างที่ “ฟังไม่ค่อยจะขึ้น” ในแง่กฎหมาย ความชอบธรรมระหว่างประเทศ ขณะการยึดเรือ “MT Riah” โดยฝ่ายอิหร่าน กลับมีหลักฐานข้อพิสูจน์อย่างชัดแจ้ง ว่าเรือดังกล่าวพยายาม “ลักลอบขนน้ำมันเถื่อน” กันจริงๆ ส่วนเรือ “Stena Impero” ก็กระทำการผิดกฎหมายการเดินเรือสากลอย่างชัดแจ้ง ไม่ใช่แต่เฉพาะไปชนกับเรือประมง แต่ยังไม่ได้คิดให้ความช่วยเหลือเมื่อได้รับสัญญาขอความช่วยเหลือใดๆ แม้แต่น้อย...
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าจะอ้างกันไปแบบไหน อย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่า “ขีดความสามารถ” ของฝ่ายอังกฤษ ในการปกป้องเรือของตัวเอง ไปๆ-มาๆ แล้ว มันออกอาการอ่อนยวบ อ่อนยาบ ชนิดแทบไม่สมราคาอดีตอภิมหาอำนาจที่เคยได้ชื่อ ฉายาว่า “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” เอาเลยแม้แต่น้อย แม้จะส่งเรือรบ เรือพิฆาต อย่าง “HMS Montrose” และอะไรต่อมิอะไรเข้าไปแถบอ่าวเปอร์เซีย ไม่รู้กี่ลำต่อกี่ลำ แต่เมื่อเจอกับเรือ “Speed Boat” ลำเล็กๆ ของกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่านล้อมหน้า ล้อมหลัง ความพยายามปกป้องขัดขวาง ใช้เฮลิคอปเตอร์บินวนไป-มา ก็กลับกลายเป็น “ความล้มเหลว” ซะยังงั้น!!! และนั่นเองที่ทำให้แฟนบอลอังกฤษด้วยกันเอง อดไม่ได้ที่จะกระหน่ำกันใน “ทวิตเตอร์” ด้วยข้อความต่างๆ นานา เช่น “การทูตแบบเรือปืน...จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคุณมีเรือปืนจริงๆ” หรือ “คืนเรือให้เขาไปเสียเถอะ...แล้วเขาจะคืนเรือกลับมาให้เราเอง” หรือ “คุณมองการกระทำของคุณในแบบไหนกันแน่...สำหรับการยึดเรืออิหร่าน หรือการขโมยทองเวเนซุเอลา” ไปจนถึงข้อความที่ว่า “ดูเหมือนว่า...ท้ายที่สุดแล้ว ดวงอาทิตย์น่าจะลาลับไปแล้ว สำหรับจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” ฯลฯ ฯลฯ...
แต่สิ่งที่ออกจะมีน้ำหนักยิ่งกว่าบรรดาข้อความของพวกแฟนบอลใน “ทวิตเตอร์” ก็น่าจะเป็นคำพูด คำจาของรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษเอง “นายTobias Ellwood” ที่อดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความเห็นเอาไว้ว่าเหตุการณ์การยึดเรืออังกฤษโดยทางการอิหร่านนั้น คือการ “ส่งสัญญาณ” ให้เห็นว่า “กองทัพเรืออังกฤษยังเล็กเกินไปกว่าที่จะจัดการดูแลผลประโยชน์ของประเทศในแต่ละซีกโลกได้” เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางแห่งมหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ “Dr.Alam Saleh” ที่สรุปเอาไว้ประมาณว่า...อังกฤษกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก และไม่อยู่ในฐานะที่จะแก้ปัญหาในภูมิภาคตะวันออกกลางได้เลย เพราะอิทธิพลเท่าที่เคยมีมาในอดีต แทบไม่หลงเหลืออยู่แล้วในทุกวันนี้ อีกทั้งยังต้องมาเจอกับปัญหาเบร็กซิต การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้ภาวะการเมืองภายในต้องชุลมุน ชุลเกไม่น้อย รวมไปถึงการปรับลดงบประมาณทหารโดยเฉพาะต่อกองทัพเรือ จนทำให้ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปเผชิญหน้ากับอิหร่านได้ง่ายๆ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น นักวิชาการรายนี้ยังเน้นเอาไว้ด้วยว่า... “นี่คือแผนการของอเมริกา ที่จะลากอังกฤษให้เข้าร่วมทำสงครามการเมืองกับอิหร่าน ไม่ต่างไปจากครั้งที่อังกฤษถูกฉุดกระชากให้ต้องร่วมบุกอิรักกับอเมริกา ดังนั้นอังกฤษจะต้องเรียนรู้จากอดีต และต้องเข้าใจความจริงด้วยว่า...ประธานาธิบดีทรัมป์นั้น ไม่ได้เป็นเพื่อนแท้ของอังกฤษแม้แต่น้อย...”
และมันก็น่าจะเป็นไปแบบที่ “Dr.Alam Saleh” ท่านว่าเอาไว้จริงๆ นั่นแหละ เพราะในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “นายเจเรมี ฮันท์” กำลังหันรี หันขวาง ออกอาการในแบบที่สำนักข่าวบางแห่งสรุปว่า “ใช้เวลาตลอด 24 ชั่วโมงกับการหลีกเลี่ยง เบี่ยงเบนเสียงตำหนิ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อตัวเอง” รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา อย่าง “นายไมค์ ปอมเปโอ” ก็ได้ไปนั่งเอ้เต้ ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ “ฟอกซ์ นิวส์” ด้วยน้ำเสียงสดใสเริงร่า ประมาณว่า “อเมริกา...ไม่เคยคิดจะก่อสงครามใดๆ กับอิหร่าน และสำหรับเหตุการณ์ความตึงเครียด การเผชิญหน้าในอ่าวเปอร์เซียนั้น รัฐบาลอังกฤษจะต้องหาทางดูแลเรือของตัวเองกันเอาเอง” เมื่อเจอเพื่อนกิน-เพื่อนกันในลักษณะเช่นนี้ จึงไม่ถึงกับถือเป็นเรื่องแปลก ที่การประกาศตอบโต้เอาคืนอิหร่านแบบ “หนักหน่วง” ของรัฐบาลอังกฤษก่อนหน้านี้ จึงถูกอธิบายขยายความในเวลาต่อมาว่า หมายถึงการเตรียมที่จะปรึกษาหารือกับบรรดาประเทศในยุโรปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อร่วมมือกัน “ปฏิบัติการปกป้องน่านน้ำ” (Maritime Protection Mission) ในแถบอ่าวเปอร์เซีย โดยไม่ได้ถือเป็นการสนับสนุนนโยบายกดดันอิหร่านของสหรัฐฯ แต่อย่างใด เพราะอังกฤษก็ยังคงมีข้อผูกพันอยู่กับข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCOA) เช่นเดียวกับบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย...
นี่...จะถือเป็นแค่การ “เสียรังวัด” หรือ “เสียหมา” “เสียสุนัข” คงต้องไปพิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน แต่จากลักษณะอาการโดยรวมๆ แล้ว มันก็น่าที่จะเป็นไปอย่างที่แฟนบอลอังกฤษใน “ทวิตเตอร์” ว่าเอาไว้จริงๆ นั่นแหละว่า... “The Sun seems to have finally set on the Empire” หรือเกาะเล็กๆ ที่สามารถเสกสรรปั้นแต่งตัวเองให้กลายเป็น “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” เมื่อไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมานี่เอง แต่ก็ด้วยเหตุแห่งความเป็น “จักรวรรดินิยม” หรือด้วย “ลัทธิจักรวรรดิ” นั่นเอง สุดท้ายเลยต้องกลับคืนสู่สภาพเดิมๆ กลับมาเป็นแค่เกาะเล็กๆ ที่อาจเล็กยิ่งไปกว่านั้นอีกก็เป็นได้ ถ้าหากยังยอมให้จักรวรรดิอื่นๆ ลากๆ จูงๆ ตัวเอง ไปในทิศทางไหนก็ได้ โดยไม่ได้คิดจะเรียนรู้อดีตเอาเลยแม้แต่น้อย...