"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาณ์เรื่อง การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400-425 บาท ต่อวันว่า ต้องพิจาราตามกลไกของคระกรรมการสามฝ่ายหรือไตรภาคี ว่า จะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด และต้องศึกษาผลกระทบต่อ เศรษฐกิจโดยรวม และตลาดแรงงานอย่างรอบด้านด้วย
ค่าจ้างขั้นต่ำ 400-425 บาท เป็นนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐ ใช้หาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง หลายวันก่อน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพิ่งจะขยายความว่า ค่าแรง 400-425 บาทนั้น เป็นค่าแรงสำหรับแรงงานที่ผ่านการพัฒนาทักษะฝีมือแล้ว
ผู้ใช้แรงงานที่ลงคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐ โปรดเข้าใจตามนี้
คำสัมภาษณ์ของม.ร.ว. จัตุมงคล ซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงที่รับผิดชอบ ขับเคลื่อนนโยบายแรงงาน ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ค่าจ้างขั้นต่ำ 400-425 บาท จะไม่ใช่นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของไตรภาคีที่จะพิจารณา ซึ่งถูกต้องตามหลักการแล้ว เพราะ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ส่งผลกระทบต่อหลายฝ่าย จึงต้องให้ผู้ที่มีส่วนได้เสีย อย่างเช่น นายจ้าง ผู้ประกอบการ ร่วมพิจารณา ผ่านกลไกไตรภาคี
เดิม คณะกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำ กำหนดปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีตัวเลขที่ คณะอนุกรรมการฝ่ายวิชากา ร เสนอมาให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำใน 87 อัตรา ตั้งแต่ 2-10 บาท ตามสภาพเศรษฐกิจ เงื่อนไขการครองชีพที่แตกต่างกันของแต่ละจังหวัด
ช่วงเวลาที่จะต้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ไปคาบเกี่ยวกับ การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ จึงถูกชะลอไว้ก่อน ในขณะเดียวกัน พรรคการเมืองต่างๆ ก็เอาเรื่อง การปรับขึ้น ค่าจ้างขั้นต่ำ ไปหาเสียง เป็นหนึ่งในนโยบายยกระดับรายได้ของประชาชน
ค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบัน มี 7 อัตรา ตั้งแต่ 308 - 330 บาท จังหวัดที่ได้สูงสุด คือ ชลบุรี ระยอง และภูเก็ต รองลงมา กรุงเทพ และจังหวัดใกล้เคียงได้วันละ 325 บาท จังหวัดที่ได้ต่ำสุด 308 บาท คือ สามจังหวัดขายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท ตามการหาเสียงนั้น เป็นการปรับขึ้นครั้งเดียวกว่า 30 % จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ถึงขั้นต้องเลิกกิจการ ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ ปัจจุบันจ่ายค่าจ้างเกินวันละ 400 บาทอยุ่แล้ว และถ้าเป็นแรงานมีฝีมือ ได้ค่าจ้างวันละ 400-500 บาท
ต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น จะถูกผลักภาระไปให้กับประชาชน ที่จะต้องจ่ายค่าสินค้าอุปโภค บริโภค ค่าบริการ แพงขึ้น ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่การปรับค่าจ้างจะมีผล แค่ประกาศว่า จะมีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ราคาสินค้าก็ขึ้นไปรอแล้ว ในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองอยู่แล้ว ราคาสินค้าที่แพงขึ้น ยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้การทำมาค้าขายเลวร้ายหนักกว่าเดิม เพราะของแพง คนก็จับจ่ายใช้สอยน้อยลง เลือกซื้อแต่ของที่จำเป็น
ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ไม่สามารถแบกรับต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นทันทีกว่า 30 % ได้ ในอดีต สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยขึ้นค่าจ้างทีเดียว จาก 159 - 215 บาท เป็นอัตราเดียวเท่ากันทั้งประเทศ 300 บาทต่อวัน ตามที่ได้หาเสียงไว้ ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล้กและขนาดกลางอยุ่ไมได้ ต้องปิดกิจกา รที่อยุ่ได้ ก้ต้องเลี่ยงกฎหมาย จ่ายค่าแรงน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยลูกจ้างสมยอม เพื่อให้อยู่รอดด้วยกันทั้งสองฝ่าย
หลังการปรับค่าจ้างครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่มีการขึ้นค่าจ่งขั้นต่ำประจำปีอีกเลย เป็นเวลา 3 ปี
ม.ร.ว.จัตุมงคล เป็นอดีตปลัดกระทรวงการคลัง อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ย่อมเข้าใจ มองเห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ในอัตราที่สูงกว่าปกติ อยุ่แล้ว
พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเจ้าของนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400-425 บาท มีผู้ประกอบการ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ อยุ่เป็นจำนวนมาก ย่อมรู้ดีว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราดังกล่าว โดยไม่ให้มีผลกระทบต่อ เจข้าของกิจการ และผู้บริโภค เป็นไปไมได้ แต่เพื่อชัยชนะเฉพาะหน้า ก็ต้องประกาศออกไปก่อน แล้วค่อยไปหาเหตุผลแก้ตัวภายหลังว่า ทำไมจึงทำไม่ได้
เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท จะถูกพรรคฝ่ายค้าน ยกเป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งในการอภิปราย นโยบายของรัฐบาลว่า เป็นแค่การหาเสียง พอได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ลืมว่า เคยสัญญาไว้อย่างไร