xs
xsm
sm
md
lg

สงครามเยเมน-ซาอุฯ...แพ้แล้ว???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ว่าด้วยเรื่องอานุภาพของ “อาวุธบินได้” หรือของ “จรวด” ไปแล้วเมื่อวานนี้...วันนี้เลยลองชวนมาดูผลพวง หรือผลลัพธ์ ที่ไม่ว่าโดยศักยภาพของอาวุธอย่างจรวดล้วนๆ หรือโดยองค์ประกอบอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยก็ตาม แต่ก็น่าจะกำลังส่งผลให้เกิดข่าวคราวใน “แง่บวก” โดยเฉพาะกับประเทศเล็กๆ จนๆ อย่างประเทศ “เยเมน” ที่ต้องเจอกับการไล่บด ไล่บี้ การเปิดฉากสงครามโดยประเทศเศรษฐีน้ำมันอย่าง “ซาอุดีอาระเบีย” มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 ชนิดผู้คนล้มตายกันไปแล้วเหยียบเป็นแสนๆ ที่กำลังอดอยาก หิวโหย อีกนับเป็นสิบๆ ล้าน หนักหนาไม่น้อยกว่า “โศกนาฏกรรมแห่งมนุษยชาติ” เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 โน่นเลย...

ที่ต้องใช้คำว่าข่าวคราวใน “แง่บวก” ก็เพราะโดยแนวโน้ม โดยฉากความเป็นไปของสถานการณ์คราวล่าสุด น่าจะพอสรุปได้ว่าผู้ที่เป็นตัวริเริ่มเปิดฉากสงคราม เปิดประตูนรกบานนี้ขึ้นมา คือซาอุดีอาระเบียนั้น น่าจะ “ใกล้เจ๊ง” หรือ “ใกล้แพ้” เต็มที หรือถ้าหากว่ากันตามคำพูด คำจา ที่ปรากฏอยู่ในรายงานเอกสารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน เมื่อไม่นานมานี้ ก็คงต้องใช้คำว่า “สงครามที่ไม่มีวันชนะ” ทำนองนั้น ชนิดว่ากันว่า...แม้แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เอง ที่พยายามสนับสนุนกองทัพซาอุฯ และพันธมิตรมาโดยตลอด ยังต้องเสนอแนะให้รัฐบาลซาอุฯ รีบเปลี่ยนไปหาหนทาง “การเจรจา” กับพวกกบฏเยเมนกันแทนที่ รวมทั้งยังสนับสนุนให้พันธมิตรรายสำคัญของซาอุฯ คือกองทัพ “ยูเออี” หรือสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ถอนตัวออกจากการร่วมสงครามที่ว่าอีกซะด้วย นี่...ถ้าว่ากันตามข้อเขียน บทความ เรื่อง “U.A.E. Pulls Most forces from Yemen in Blow to Saudi War Effort” ของ “นายDeclan Walsh” และ “นายDavid D. Kirkpatrick” สองผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ “The New York Times” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา...

คือการที่กองทัพยูเออีซึ่งโดดเข้ามาร่วมเป็น-ร่วมตายกับซาอุฯ ในการเปิดฉากสงครามเยเมนตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ส่งกำลังทหารภาคพื้นดินบุกเข้าไปในพื้นที่ประเทศเยเมนไม่น้อยไปกว่า 5,000 คน จนอาจถือเป็น “กำลังหลัก” ของสงครามคราวนี้เอาเลยก็ว่าได้ จะด้วยเหตุเพราะกลัวจรวด “Quds” หรือ “Barakah” ของพวกกบฏเยเมนหล่นใส่หัว ใส่ฐานทัพ สนามบิน และเมืองต่างๆ ที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนยูเออี หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ อันมีองค์ประกอบเชื่อมโยงอีกมากมายเยอะแยะก็แล้วแต่ จึงทำให้คิดจะถอนตัว ถอนกำลังทหารส่วนใหญ่ หรือแทบจะทั้งหมด ออกจากสมรภูมิแห่งนี้ ย่อมทำให้กองทัพซาอุฯ ซึ่งออกจะโดดเดี่ยวเดียวดายพอสมควรอยู่แล้ว ย่อมหนีไม่พ้นต้อง “ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง” อย่างน่าอเนจอนาถหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงภาระหน้าที่หลักๆ ของกองทัพยูเออีก่อนหน้านั้น นั่นก็คือการวางกำลังเอาไว้ในเมืองสำคัญๆ เลียบฝั่งทะเลแดง ไม่ว่าเมือง “Mokha” เมือง “Khokha” ที่อยู่ห่างจากเมืองท่าสำคัญ และถือเป็นประตูเพียงบานเดียว ซึ่งสามารถเปิดรับความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม หรือการส่งกำลังบำรุงจากภายนอก นั่นก็คือเมือง “Hodeida” ไปเพียงแค่ 130 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ภารกิจของกองทัพยูเออีจึงแทบไม่ต่างไปจาก “ยามเฝ้าประตู” ให้กับกองทัพซาอุฯ ในสมรภูมิที่ว่านี้เอาเลยก็ว่าได้ ดังนั้น...ถ้าหาก “ยามไม่อยู่” หรือ “ยามดันหลับ” ขึ้นมาซะแล้ว!!! ใครก็ตามที่ยังคิดนั่งๆ-นอนๆ หรือยังพยายามนั่งปลอกกล้วยในบ้านอยู่ตามลำพัง คงหนีไม่พ้นต้องรีบ “เผ่น” แบบชนิดตัวใครก็ตัวมัน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย...

แม้ว่ารัฐบาลยูเออีจะพยายามแถลงว่า การคิดถอนกำลังทหารของตนออกจากสมรภูมิเยเมนนั้น ไม่ได้ถือเป็นการถอนออกไปทั้งหมด หรือการเลิกล้มภารกิจ เพราะกองทัพยูเออียังช่วยฝึก “ทหารบ้าน” เอาไว้ในเยเมนถึง 20,000 คน แต่ก็นั่นแหละ...การขนอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญ ไม่ว่าเฮลิคอปเตอร์โจมตีและสกัดกั้น อาวุธหนักเช่นปืนใหญ่ รถถัง ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรกลับบ้าน กลับช่องของตัวเอง บรรดา “ทหารบ้าน” ที่กองทัพยูเออีฝึกเอาไว้ คงไม่อาจใช้ “หนังสติ๊ก” เอาชนะพวกกบฏเยเมนได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ “สงครามเยเมน” ที่ถูกริเริ่มขึ้นมาโดยมกุฎราชกุมารซาอุฯ อย่างเจ้าชาย “MbS” (Mohammed bin Salman) ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมซาอุฯ ณ ขณะนั้น จึงกำลังกลายเป็น “กับดักแห่งความล้มเหลว” ไม่ว่าสายตาของ “Mike Hindmarsh” อดีตนายพลออสเตรเลีย ที่เคยเป็นผู้บัญชาการหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับผู้นำยูเออี หรือ “Michael Stephen” ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบันวิจัย “Royal United service Institute” แห่งกรุงลอนดอน...

เรียกว่า...ถึงการตัดสินพระทัยเปิดศึก เปิดสงครามกับประเทศเล็กๆ จนๆ อย่างเยเมนของมกุฎราชกุมารซาอุฯ รายนี้ จะได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขัน จากอภิมหาอำนาจอย่างคุณพ่ออเมริกา และสุนัขพูเดิลของอเมริกาอย่างอังกฤษมาโดยตลอด ไม่ว่าในแง่การจัดหาอาวุธ การขายอาวุธร้ายๆ โหดๆ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านข่าวกรองให้กับกองทัพซาอุฯ มาโดยตลอด แต่เมื่อสงครามยิ่งยืดเยื้อยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ กระแสกดดันต่อรัฐบาลอเมริกัน และรัฐบาลอังกฤษ ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นๆ ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เพราะไม่เพียงแต่ภาพอันน่าหดหู่ น่าเวทนาของบรรดาเด็ก-ผู้หญิง-คนชรา หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ชาวเยเมน ที่บาดเจ็บล้มตายกันเป็นแสนๆ ล้านๆ หรือที่อดอยาก หิวโหย ไม่มีแม้กระทั่งยารักษาโรคง่ายๆ อย่างอหิวาตกโรคนับเป็นสิบๆ ล้าน จะทำให้ชาวอเมริกัน ชาวอังกฤษเริ่มสำนึกถึง “คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์” ขึ้นมามั่ง แต่เมื่อยังต้องเจอกับข่าวคราวฆาตกรรมอันเหี้ยมโหด อย่างกรณีการอุ้มฆ่า “นายจามาล คาช็อกกี”(Jamal Khashoggi) นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ คาสถานทูตตุรกีด้วยแล้ว แม้แต่สมาชิกสภาฯ สหรัฐฯ ไม่ว่าเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ต่างพร้อมใจโหวตให้รัฐบาลเลิกให้การสนับสนุนซาอุฯ ในสงครามเยเมนอย่างเป็นเอกฉันท์ เพียงแต่ต้องตกไปเพราะถูกประธานาธิบดีใช้สิทธิ์ “วีโต้” เท่านั้น...

คือสรุปง่ายๆ...ว่าเมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ ประเทศอภิมหาเศรษฐีน้ำมันอย่างซาอุฯ น่าจะ “ใกล้เจ๊ง” หรือ “ใกล้แพ้” เต็มที ต่อการเปิดฉากสงครามกับประเทศเล็กๆ จนๆ อย่างเยเมน ชนิดสามารถวางเดิมพันในระดับ “100 บาทเอาอุจจาระสุนัขกองเดียว” เอาเลยก็ยังได้ สิ่งที่น่าสนใจนับจากนี้...ก็คือประเทศพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง และประเทศที่ยืนหยัดเป็นพันธมิตรเคียงบ่าเคียงไหล่กับคุณพ่ออเมริกา ไปจนแม้แต่อิสราเอล ในการสร้างความปั่นป่วนให้กับ “แนวรบตะวันออกกลาง” มาโดยตลอด จะหาทางออก ทางไป หรือ “ทางรอด” กันในลักษณะไหน??? และทางออก หรือทางรอดนั้นๆ จะส่งผลให้อภิมหาอำนาจสูงสุดของโลก หรือประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา อาจต้อง “ไปไม่เป็น” กันไปด้วยหรือเปล่า??? เพราะ “ซีเรีย” ต้องถือว่าแพ้แล้ว ส่วน “เวเนซุเอลา” ก็หามุมกลับแทบไม่เจอ ถ้าหากวันหนึ่ง-วันใด...พันธมิตรรายสำคัญที่ถือเป็นผู้กุมหัวใจของ “เปโตร-ดอลลาร์” อย่างซาอุฯ หันไปเปลี่ยนข้าง-เปลี่ยนใจขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่จะ “นับถอยหลัง” ไปสู่ “อวสานอเมริกา” ย่อมยิ่งเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น