คณะเสนาบดีของลุงป็อปปูลาร์มีกำหนดการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าทำหน้าที่บริหารจัดการบ้านเมือง ตามสิทธิพึงได้พึงมีจากการเลือกตั้ง ถ้อยคำคงออกแนวว่าจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ผลประโยชน์ของบ้านเมืองสุดหัวใจ
นั่นเป็นพิธีกรรมก่อนเข้าทำงาน ใครซ่อนความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ชมเชยวาสนาของตัวเองอยู่ในใจว่ามีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากรอบใหม่ก็ครั้งนี้แหละ เพราะเป็นรัฐบาลพิสดารซึ่งจะมีแบบนี้ได้ก็ไม่มหัศจรรย์เท่ากับใน “ไทยแลนด์ โอนลี่”
ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นการตกลงผลประโยชน์ในความเป็นรัฐบาลผสมระหว่าง “คณะรัฐประหาร” ผันตัวมาเป็นนักการเมืองเพื่อสืบทอดยาวอำนาจ และกลุ่มนักเลือกตั้งซึ่งเป็นเหยื่อของการรัฐประหาร ต้องว่างงานอดอยากปากแห้งนานกว่า 5 ปี
เมื่อมาแล้ว ก็ต้องว่ากันไปอย่างนี้ เหมือนกับที่เป็นมาตั้งแต่ปี 2475 ทั้งสองพวกผลัดกันเข้ามาเสวยสุข สร้างความมั่งคั่งจากทรัพย์สินแผ่นดิน ผสมผสานกันได้ชั่วคราว เมื่อขัดกันความบรรลัยก็มา ชาวบ้านตาดำๆ ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจ
ระยะหลังออกไปต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ต้องเสี่ยงภัย บาดเจ็บ ตายคือติดคุก!
เป็นนักเลือกตั้ง หรือนักรัฐประหาร ก็จ้องหาจังหวะตีกิน ถ้าการเปลี่ยนถ่ายอำนาจแล้วนำไปสู่ความเสื่อม การขัดผลประโยชน์ อีกฝ่ายจะไม่ยอมเป็นเสือหิวต้องทนอดนานเกินไป แต่ทุกฝ่ายต่างอ้างประชาชนเพื่อเข้าสู่อำนาจและโกยผลประโยชน์
การกล่าวสัจวาจาจึงไร้ความศักดิ์สิทธิ์ กล่าวแล้วจะมีใครยึดมั่นในคำปฏิญาณ เปี่ยมด้วยจิตสำนึกด้านดี ตั้งใจทำงานด้วยใจซื่อมือสะอาด ไม่ทุจริต คอร์รัปชันหรือไม่ อีกไม่นานก็คงรู้ เดาทางได้ไม่ยาก รุ่นก่อนๆ มีผลงานให้เห็นชัด
ล้วนแต่โกงกินหนักมาโดยตลอดในช่วงกว่า 20 ปี จากไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ยกระดับไปกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จัดว่าเป็นชาติที่มีการทุจริต คอร์รัปชันติดอันดับโลก
ไม่รู้ว่าประชาชนคนไทยยอมให้เกิดขึ้น และทนสภาพเช่นนั้นได้อย่างไร แต่ละรัฐบาลยิ่งอยู่ก็ยิ่งสะสมผลงานค่าโง่จากไม่กี่พันล้านบาท ไปสูงกว่าแสนล้านบาท จัดอยู่ในขั้นโง่ดักดาน โง่แล้วรวย และไม่คิดจะแก้ไข ยอมจ่ายค่าโง่ ไม่ดิ้นรนให้เต็มที่
เป็นเรื่องพิสดารที่แผ่นดินเต็มไปด้วยคนหัวหมอ แต่มีเรื่องโง่มาโชว์ บอกเล่าให้ชาวบ้านฟังโดยไม่รู้สึกว่าต้องอาย หรือรับผิดชอบความเสียหายต่อแผ่นดิน อย่างน้อยที่สุด ถ้าจะต้องจ่ายต้องสอบสวนให้เต็มที่ก่อนว่า “ใครเป็นต้นตอแห่งความโง่”
โง่ระดับแสนล้านไม่ใช่โง่ธรรมดา มีความบัดซบใจคดอยู่ด้วยเต็มที่ ผู้บริหารบ้านเมืองซึ่งห่วงผลประโยชน์ของประชาชนต้องดิ้นรนหาตัวคนทำให้เสียค่าโง่มารับผิดชอบ จะปล่อยให้ลอยนวลก็เสี่ยงต่อคำครหา เสียงซุบซิบว่ามีคนได้ส่วนแบ่ง
เพียงแต่ไม่บอกโต้งๆ ว่าคนจ่ายค่าโง่มี “ส่วนลด” หรือได้ “เงินทอน” ด้วย!
ฉะนั้น ประชาชนต้องบอกว่าถ้าใครจะต้องให้ประเทศเสียค่าโง่ เราต้องไม่ยอมให้คนโง่มาบริหารประเทศ ถ้าเรายอม เราจะถูกมองว่าเราโง่ดักดาน ไม่ทันเกมเล่ห์กล
นี่เป็นยุคของคนรู้ทัน ถ้าออกไปโวยบนถนนไม่ได้ ก็ต้องใช้โซเชียลเป็นช่องทางแบบไฟลามทุ่ง ให้ประชาชนประกาศเสียงดังๆ ว่า ถ้าจ่ายค่าโง่ ให้เอาเงินส่วนตัวจ่ายและน่าจะต้องมีระดับพันล้าน หมื่นล้าน เพราะมาจากระบบ “รัฐประหารแล้วรวย”
เห็นหน้าตาคณะเสนาบดีชุดนี้ มีใครสักกี่คนด้วยสติปัญญาสมประกอบ กล้ารับประกันด้วยความเชื่อมั่นว่า พวกนี้ไว้ใจได้ ไม่โกงบ้านกินเมือง เป็นคนดีศรีแผ่นดิน เพราะพฤติกรรมแต่หนหลังฟ้องให้เห็นชัดว่าบ้านเมืองอยู่ในความเสี่ยงสูงอีกแล้ว
หลายคนมาพร้อมกับความฉาวโฉ่ ความสงสัยในพฤติกรรมไม่ซื่อ ถ้าจะให้ทำโพลหรือถามความเห็นประชาชนว่ามีเสนาบดีคนใดเข้าข่ายมีคุณสมบัติ “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” มี “จริยธรรม” ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ คงน่าตื่นเต้นมาก
หรือมีใครในคณะเสนาบดีกล้าประกาศดังๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ว่า “ผมนี่แหละมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีจริยธรรม” จะถูกยกย่องว่าเป็นผู้ “กล้าแท้ ที่กล้าท้า” เพราะนั่นจะถูกขุดคุ้ยโดยสื่อโซเชียล หูตามากกว่าสับปะรด ทศกัณฑ์
ก่อนเสนาบดีคณะใหม่จะเข้ามา มี 1 ในคณะเก่าดูแลกระทรวงเกษตรฯ ประกาศว่าจะใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวประกาศห้ามการนำเข้าสารเคมีเกษตร 3 ตัวซึ่งรวมสารพาราควอต และไกลโฟเซต เพื่อช่วยประชาชนไม่ต้องเสี่ยงตายผ่อนส่ง
ประกาศเจตนารมณ์สูงส่งวันที่ 10 เดือนนี้ และบอกเป็นนัยว่าจะตัดสินใจลงนามวันศุกร์ที่ผ่านมา เพราะเป็นอำนาจของรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีก 1-2 วัน แต่สื่อความว่าจะทิ้งทวน ทิ้งหอกทิ้งดาบ พิสูจน์ว่ามีน้ำยา น้ำซีอิ๊ว อยู่เต็มบ้องนั่นเลย
เหลือวันจันทร์ที่ 15 วันเดียว มาถึงวันนี้ทำอะไรหรือไม่ยังไม่รู้ หรือมีใครไปกระซิบว่ายกให้เป็นเรื่องของเสนาบดีเกษตรฯ คนใหม่เถอะ อย่าให้พ่อค้าต้องลำบากใจ ดูฟังแล้วก็ประหลาด มีเวลาก่อนหน้านี้เป็นปีๆ ไม่ขยับตัว ทำไมความรู้สึกช้ามาก
อีกเรื่องคือคำสั่งผู้ตรวจการที่ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ต้องมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของในธุรกิจการไฟฟ้าฯ 51 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นักลงทุน เศรษฐีพลังงานภาคเอกชนตกใจเล็กน้อย จนเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานพูดปลอบประโลมพร้อมมีข้อแก้ต่าง
เป็นความพิสดารของการตีความว่าสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าคือ “ระบบสายส่ง” โรงผลิตไฟฟ้าไม่ใช่สาธารณูปโภค ทำให้คนเคยเรียนจบ ป. 4 ขึ้นไปอ้าปากค้าง มีคนอุทาน “เฮ้ย! แบบนี้เสี่ยงต่อการสงสัยว่าเป็นการพูดแบบเอา “อ่าว” นี่หว่า!”
ในประเทศที่มีคนเชี่ยวชาญวิชา “ศรีธนญชัยศาสตร์” ทำไมต้องเสียค่าโง่ด้วย!