"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แถลงข่าว "ประเมินผลงาน ปฏิรูป 5 ปี รัฐบาลประยุทธ์ (1): ติดตามความคืบหน้าแก้ปัญหาประเทศ" เมื่อวันที 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในวาระที่จะพ้นจากการเป็นรัฐบาล
การประเมินผลงานนี้มุ่งหวังเพื่อเสนอให้รัฐบาลใหม่ รัฐสภา พรรคการเมือง องค์กรต่างๆ และประชาชนให้การสนับสนุนในการสานต่อนโยบายที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ริเริ่มนโยบายที่สมควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ และยกเลิกนโยบายที่ดำเนินการอยู่ที่ก่อให้เกิดปัญหา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นเสาหลักของรัฐบาลประยุทธ์ในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve industries) จากเดิมที่รัฐบาลมุ่งเน้นพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดน 10 แห่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลได้ออกกฎหมายที่สำคัญคือ พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 และ พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 เพื่อทำให้เกิดความต่อเนื่องของนโยบาย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
ผลการดำเนินการที่ปรากฏเป็นรูปธรรมได้แก่
• การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 ซึ่งน่าจะสามารถเซ็นสัญญาในเร็วๆ นี้ ขณะที่ โครงการสนามบินอู่ตะเภาและท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
• การดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยสามารถทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนได้พอสมควร กล่าวคือในช่วงปี 2558-2561 มีมูลค่าการลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุนรวม 1.014 ล้านล้านบาทในพื้นที่ EEC และ 1.110 ล้านล้านบาทในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายส่วนใหญ่ยังคงเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเดิมที่มีฐานอยู่ก่อน ได้แก่ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (20%) ยานยนต์และชิ้นส่วน (9%) การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (8%) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (7%) ขณะที่ การลงทุนในอุตสาหกรรม New S-Curve เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมการบิน ยังมีไม่มากนัก โดยกรณีของอุตสาหกรรมการบิน ความสำเร็จในช่วงแรกจะขึ้นอยู่กับโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งยังอยู่ในช่วงการเจรจาระหว่างการบินไทยกับแอร์บัส
• การกำหนดมาตรการดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างชาติเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะมาตรการ “สมาร์ทวีซ่า” และการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราร้อยละ 17 จากแรงงานทักษะสูงที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ซึ่งอาจช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงบางส่วนได้ในระยะเวลาสั้น
• การดึงดูดให้มหาวิทยาลัยระดับโลกเข้ามาตั้งในประเทศไทย โดยเฉพาะ CMKL University ซึ่งเป็นสถาบันร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอนกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และการเปิดให้บางคณะของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTU) เข้ามาเปิดสอนในประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังร่วมมือกับญี่ปุ่นในการพัฒนาวิศวกรคุณภาพสูงภายใต้หลักสูตร “โคเซ็น” ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นจุดเริ่มที่สำคัญในการผลิตแรงงานทักษะสูง ที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย แม้จำนวนบัณฑิตที่สถาบันต่างๆ จะผลิตได้ในช่วงแรกจะยังน้อยมากก็ตาม
ในอีกด้านหนึ่ง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักในด้านต่อไปนี้
• การพัฒนากำลังคนคุณภาพสูง ซึ่งสามารถทำงานได้จริงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะแรงงานด้านอาชีวะ และวิศวกร
• การผลักดันให้สถาบันวิจัยของรัฐ และมหาวิทยาลัยเข้าไปร่วมงานกับบริษัทที่ใช้อุตสาหกรรมระดับสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศ
• การสร้างส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ในการกำหนดนโยบาย รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากที่ดิน และการจัดทำผังเมือง ซึ่งจะทำให้ประโยชน์จากการพัฒนาไม่กระจุกตัวอยู่ในวงแคบ ไม่เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม และไม่เกิดผลกระทบในด้านลบต่อประชาชนบางกลุ่มในพื้นที่
รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการดังต่อไปนี้
• สานต่อเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยยกระดับการพัฒนากำลังคนคุณภาพสูงจากการร่วมมือกับภาคเอกชน และผลักดันให้สถาบันวิจัยของรัฐและมหาวิทยาลัยร่วมงานกับภาคเอกชน
• เปิดเผยข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส และปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดกับชุมชน เพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน และทำให้การพัฒนาที่เกิดขึ้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง
• จัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในเขตพัฒนาพิเศษ เพื่อทำให้การวางแผน การกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง
• ขยายผลบทเรียนในการบริหารจัดการที่ดีในการปรับปรุงกฎระเบียบ และการบริหารจัดการในเชิงบูรณาการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไปใช้ในพื้นที่อื่น ในลักษณะกระจายอำนาจ