xs
xsm
sm
md
lg

ราคาน้ำมันที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

เรือบรรทุกน้ำมัน Grace 1 ของอิหร่าน
มาถึง ณ ขณะนี้...คงหนีไม่พ้นต้องย้อนกลับไปแถวๆ อ่าวเปอร์เซีย แถวๆ อิหร่านกันอีกนั่นแหละทั่น เพราะหมดเรื่องโน้น ก็ดันต้องเจอเรื่องนั้น เรื่องนี้ โผล่เข้ามาเขย่าขวัญ สั่นประสาท ชนิดไม่คิดเปิดโอกาสให้พอได้หายใจ หายคอแบบโล่งๆ กันบ้างเลย อย่างที่ใครต่อใครเขาเคยว่าๆ เอาไว้ประมาณว่า “ทางไปสวรรค์นั้นกว้าง แต่มักไม่ค่อยมีใครสนใจจะเดิน นรกไม่มีประตู แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อย ชอบที่จะเจาะ จะมุดเข้าไปให้จงได้...” ทำนองนั้น...

หมดเรื่อง “โดรน” อเมริกาถูกอิหร่านยิงตก เรื่องพวกสายเหยี่ยวในอเมริกาคิดถล่มอิหร่านในทางยุทธวิธี เมื่อไม่นานมานี้...แทนที่จะพอได้หายใจโล่งๆ ขึ้นมามั่ง เมื่อช่วงพฤหัสบดีสัปดาห์ที่แล้ว (4 มิ.ย) นาวิกโยธินอังกฤษที่ประจำอยู่แถวๆ ช่องแคบยิบรอลตาร์ ก็ตัดสินใจบุกเข้ายึดเรือขนส่งน้ำมัน “Grace 1” ของอิหร่าน ที่ติดธงปานามา อันเป็นเรือขนาดใหญ่ระดับ “ซูเปอร์แทงค์” ความยาว 330 เมตร น้ำหนักกว่า 300,000 ตัน บรรทุกน้ำมันดิบประมาณ 2 ล้านบาร์เรล โดยอ้างว่าเรือลำนี้กำลังขนส่งน้ำมันดิบไปยังโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ ณ เมืองท่า “Banyas” ในซีเรีย อันถือเป็นการล่วงละเมิด ฝ่าฝืน “มาตรการแซงชั่น” ของบรรดาประเทศในยุโรปต่อซีเรีย ที่เคยมีมาตั้งแต่ปีมะโว้ และก็แทบไม่มีครั้งใดเลยที่ถึงขั้นต้องไฮแจคกันกลางอากาศ หรือต้องยึดเรือบรรทุกน้ำมันกันกลางทะเลมาก่อนเลย อีกทั้งดังที่รองรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายSeyed Abbas Araghchi” ท่านได้ออกมาปฏิเสธเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า เรือน้ำมันอิหร่านลำนี้ ไม่ได้คิดจะมุ่งหน้าไปซีเรียเอาเลยแม้แต่น้อยเพราะท่าเรือในเมือง “Banyas” ก็คับแคบเกินกว่าที่จะรองรับขนาดของเรือน้ำมันที่ใหญ่โตมโหฬารระดับนี้ ชนิดแล่นในคลองสุเอซยังแล่นไม่ได้ เลยต้องอ้อมไปแถบช่องแคบยิบรอลตาร์กันไปโน่น...

ทั้งๆ ที่อังกฤษนั้น...เอาเข้าจริงๆ แล้ว ก็คือหนึ่งในบรรดาประเทศที่ยังร่วมยืนหยัดอยู่ในข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน หรือ “JCPOA” ที่ต้องพยายามหาทาง “อำนวยความสะดวก” ให้กับอิหร่านในการค้า การขาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ชนิดถึงขั้นต้องร่วมกันประดิษฐ์คิดค้นกลไกทางการเงินและการชำระบัญชี อย่างที่เรียกๆกันว่า “INSTEX” เพื่อช่วยให้อิหร่านไม่ต้องถูกปิดกั้นโดยมาตรการแซงชั่นของคุณพ่ออเมริกา ที่สะบัดตูดถอนตัวออกจากข้อตกลง “JCPOA” ไปก่อนหน้านี้ แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นอังกฤษเองนั่นแหละ ที่รับอาสาอเมริกาใช้หน่วยนาวิกโยธินที่ประจำการอยู่ในช่องแคบยิบรอลตาร์ บุกเข้ายึดเรือน้ำมันอิหร่าน ตาม “คำขอร้องของรัฐบาลอเมริกัน” ดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศสเปน “นายJosep Borrell” ได้ออกมายืนยันเอาไว้แล้วนั่นเอง...

ด้วยการกระทำในลักษณะเช่นนี้...จึงต้องถือว่าสมควรแก่เหตุ ที่สมาชิกสภาปฏิรูปอิหร่าน อย่าง “นายMustafa Kavakebin” ท่านจะออกมาเรียกขานประเทศผู้ดีอังกฤษ ด้วยชื่อ ฉายา แบบที่ใครต่อใครเคยเรียกๆ เมื่อครั้งอังกฤษร่วมยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกา ในการบุกเล่นงาน “ซัดดัม ฮุสเซน” แห่งอิรัก เมื่อหลายต่อหลายปีที่แล้ว นั่นก็คือ “สุนัขพูเดิลของอเมริกา” และด้วยการกระทำในแบบเลียไป-เลียมา หรือพร้อมที่จะเห่า พร้อมที่จะกัดใครต่อใครก็ได้แล้วแต่เจ้าของสั่ง อะไรประมาณนี้ ก็ยิ่งส่งผลให้ข้อตกลง “JCPOA” ระหว่างอิหร่านกับใครต่อใคร โดยเฉพาะบรรดาประเทศในยุโรป เลยเป็นอะไรที่ออกจะเลอะเทะ เละเทอะยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะบรรดาประเทศในยุโรปที่ร่วมลงนามในข้อตกลง ไม่ว่าเยอรมนี ฝรั่งเศส ไม่เพียงแต่ไม่สามารถช่วยเหลือเยียวยา ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลงได้แบบจริงๆ จังๆ สุนัขพูเดิลของอเมริกา อย่างอังกฤษ ยังดันบุกจับเรือน้ำมันของอิหร่านแบบชนิดกะจะให้ “การส่งออกน้ำมันอิหร่านต้องเหลือศูนย์” ตามคำประกาศของคุณพ่ออเมริกาให้จงได้...

การหันไปสร้าง “อำนาจต่อรอง” ของอิหร่านด้วยการประกาศว่า...อาจต้องหันกลับไป “เพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม” หรือต้องล่วงละเมิดข้อตกลงในบางเรื่อง บางประการ จนกว่ายุโรปจะสามารถสร้างความมั่นอก มั่นใจให้กับอิหร่าน ว่าสามารถเดินไปตามข้อตกลงดังกล่าวได้โดยไม่ส่งผลให้ประเทศตัวเองอาจต้อง “เจ๊ง” ไปซะก่อน เพราะจากที่เคยส่งน้ำมันออกไปขายใครต่อใครเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ ประมาณวันละ 2 ล้านบาร์เรลเป็นอย่างน้อย มาถึงทุกวันนี้...ด้วยเหตุเพราะการแซงชั่นของคุณพ่ออเมริกาโดยบรรดาประเทศในยุโรปไม่สามารถช่วยเหลือเยียวยาใดๆ ได้เลย ปริมาณการขายน้ำมันของอิหร่านอันถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ดูจะลดๆ ลงเหลืออยู่แค่วันละไม่ถึง 300,000 บาร์เรลเอาเลยก็ไม่แน่...

แต่ก็นั่นแหละ...การประกาศหันกลับไป “เพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม” ของอิหร่าน ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากการประกาศว่าอิหร่านกำลังเข้าใกล้จุดที่สามารถนำเอายูเรเนียมเหล่านี้มาใช้ดัดแปลงเป็น “อาวุธนิวเคลียร์” ได้ยิ่งขึ้นเท่านั้น และนั่นย่อมทำให้บรรดาผู้ที่คิดจะไล่กระทืบ รุมกระทืบอิหร่านชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ยิ่งมี “เงื่อนไข-ข้ออ้าง” ในการที่จะยุให้ใครต่อใคร “เปิดประตูนรก” ด้วยการเปิดฉาก “สงครามอิหร่าน” ได้ถนัดชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไป โดยเฉพาะบรรดาพวก “B-Team” ทั้งหลาย ไล่มาตั้งแต่ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายจอห์น โบลตัน” ที่แสดงอาการกระดี้กระด้าเอามากๆ ต่อข่าวการยึดน้ำมันอิหร่านของนาวิกโยธินอังกฤษ ชนิดถือเป็น “ข่าวยอดเยี่ยมที่สุดในรอบปี” เอาเลยถึงขั้นไปจนถึง “B-Bibi” หรือนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” ของอิสราเอล ที่ออกมาโพล่งเอาไว้ในระหว่างช่วงประชุม ครม.เมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ค.) ที่ผ่านมา ด้วยการถามหาว่าบรรดาประเทศที่ยังคงร่วมอยู่ในข้อตกลง “JCPOA” กับอิหร่าน “หายหัวไปไหนหมด” เพราะถึงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นมาไล่ถีบ ไล่กระทืบอิหร่านกันแล้ว อะไรทำนองนั้น...

พูดง่ายๆ ว่า...สถานการณ์ในอ่าวเปอร์เซีย ในแนวรบตะวันออกกลางทุกวันนี้ มันยิ่งออกไปทาง “เข้าทางเท้า-ทางตีน” ของบรรดาพวก “สายเหยี่ยว” หนักยิ่งเข้าไปทุกที และถ้าหากต้องนำไปสู่การเปิดฉาก เปิดผ้าม่านกั้ง เปิดประตูนรกขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉากสถานการณ์แบบที่ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณของอิหร่าน คือท่านอยาตอลเลาะห์ “อาลี คาเมเนอี” (Ali Khamenei) ท่านวาดจินตนาการเอาไว้ให้เห็นเมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ประมาณว่า “ทันทีที่กระสุนนัดแรก หรือระเบิดลูกแรก ระเบิดขึ้นมาในพื้นที่อ่าวเปอร์เซียเมื่อไหร่...ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นสู่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลโดยฉับพลัน-ทันที” ส่วนนักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันรายอื่นๆ ก็ดูจะเห็นไม่แตกต่างไปจากกัน ไม่ว่าประธานองค์กร “Lipow Oil Associates” อย่าง “นายAndy Lipow” ที่สรุปเอาไว้ในลักษณะเดียวกัน หรือ “นายShabbri Razvi” นักวิเคราะห์ด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่ได้คาดคะเนเอาไว้กับสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” ตั้งแต่ช่วงวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมาประมาณว่า... “ถ้าปริมาณน้ำมันไม่ต่ำกว่า 25-40 เปอร์เซ็นต์ในตลาดโลก ที่ต้องอาศัยเส้นทางการขนส่งไปตามช่องแคบความยาว 29 กิโลเมตร ระหว่างโอมานกับอิหร่าน หรือที่เรียกกันว่าช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดกั้นขัดขวางขึ้นมาจริงๆ โอกาสที่ราคาน้ำมันในช่วงขณะนั้น จะพุ่งขึ้นไปถึง 150-300 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ไม่ยาก...”

อันนี้นี่แหละ...ที่บรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตา เพราะสำหรับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่แม้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเค้าด้วยเลย แต่ถ้าหากราคาน้ำมันมันพุ่งขึ้นไปในระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขึ้นมาเมื่อไหร่...แค่นี้ก็ตายแล้ว!!! จีดีพีประเทศมีอันต้องหัวทิ่มไม่รู้กี่จุดต่อกี่จุด ลองถ้าเจอกับราคาน้ำมันระดับ 300 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่ว่ารัฐบาลเก่า รัฐบาลใหม่ รัฐบาลประชาธิปไตยเต็มใบ-ครึ่งใบ หล่อ-ไม่หล่อ ยี๊-ไม่ยี๊ ล้วนแล้วแต่มีสิทธิ์...ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น กุสะลา ธัมมา อกุสะลา ธัมมา อยู่แล้วแน่ๆ!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น