xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ “อีแร้ง” คิดแปลงตัวเป็น “พิราบ”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


วันนี้...สงสัยคงต้องแวะไปดู “ทรัมป์” กับ “คิม” เค้าซักกะหน่อย คือถึงแม้กระบวนการเจรจาเรื่องการขจัดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างอเมริกากับเกาหลีเหนืออย่างเป็นระบบ เป็นกิจการ อาจต้องรอไปอีก 2-3 อาทิตย์ข้างหน้า ดังที่ผู้นำอเมริกันได้เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กับผู้สื่อข่าว ในช่วงระหว่างอยู่ที่เขตปลอดทหาร บริเวณชายแดนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา หรือยังไม่ได้มีอะไรเป็นหลัก เป็นฐาน ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะ “แฮปปี้เอนดิ้ง” กันง่ายๆ...

แต่เฉพาะแค่ภาพเหตุการณ์ที่เจ้าของทรงผม “ทรมานใจแม่” ทั้งสองราย จับมือถือแขนคุยกันกระหนุงกระหนิง ปานประดุจญาติสนิทมิตรสหาย ไม่ได้ฮึ่มๆ แฮ่ๆ แยกเขี้ยวใส่กันเหมือนก่อนๆ เพียงเท่านี้โลกทั้งโลกก็พอถอนหายใจได้อีกสักเฮือก-สองเฮือก และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ภายใต้ภาพเหตุการณ์การพบปะระหว่าง “ทรัมป์บ้า” และ “คิมน้อย” คราวนี้ ไม่ได้มี “มนุษย์สลายม็อบ” อย่าง “นายจอห์น โบลตัน” ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว โผล่หน้า โผล่ตาเข้ามาสอดแทรก เข้ามาทำลายบรรยากาศ ให้ต้องเกิดสภาวะความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้าระหว่างทั้งสองฝ่ายแต่อย่างใดไม่...

ต่างไปจากการพบปะระหว่าง “คิมน้อย” กับ “ทรัมป์บ้า” ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อไม่นานมานี้...ที่จะด้วยเหตุเพราะผู้นำอเมริกันต้องมีที่ปรึกษาความมั่นคง คอยประกบติด คอยกระซิบข้างหูคราวแล้ว คราวเล่า หรือไม่-อย่างไร? ก็มิอาจทราบได้ จึงส่งผลให้การประชุมเจรจาคราวนั้น เลยต้องออกอาการ “วงแตก” หรือต้อง “สลายม็อบ” ไปก่อนกำหนดการ แต่มาครั้งนี้...เห็นว่าเหตุที่ที่ปรึกษา “สายเหยี่ยว” อย่าง “นายจอห์น โบลตัน” ไม่ได้ปรากฏกาย ร่วมไปยืนเสนอหน้า เสนอตา ในการพบปะครั้งประวัติศาสตร์ของผู้นำทั้งสอง ก็น่าจะเพราะโดน “ถีบ” ให้ไปพูดคุยเจรจาอะไรก็ไม่รู้อยู่แถวๆ ประเทศมองโกเลียโน่น!!!

บรรยากาศในการจับมือถือแขน เดินข้ามไป-ข้ามมา บริเวณพรมแดนเกาหลี ของผู้นำอเมริการายแรกในประวัติศาสตร์ มันจึงไม่ถึงกับ “เสียบรรยากาศ” เพราะถ้าหากปล่อยให้ที่ปรึกษาประธานาธิบดี ที่เคยป่าวประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ ว่ากรรมวิธีในการจัดการกับปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือนั้น มีแต่ต้องอาศัยกรรมวิธีที่เรียกๆ กันว่า “ลิเบีย โมเดล” ที่เคยถูกนำมาใช้ในการเด็ดหัวผู้นำลิเบีย อย่าง “พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี” แบบชนิดไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี มายืนโด่ๆ เด่ๆ สอดแทรกระหว่างที่ 2 ผู้นำกำลังจับไม้ จับมือซึ่งกันและกันนั้น ไม่ว่าฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดนั่นแหละ อาจต้องเปรี้ยวเท้า เปรี้ยวตีน ขึ้นมาจนได้ โดยเฉพาะฝ่ายเกาหลีเหนือ ที่เคยใช้คำเรียก เคยให้ชื่อ ฉายาที่ปรึกษาฯ อย่าง “นายจอห์น โบลตัน” เอาไว้เยอะแยะมากมาย ไม่ว่า “เศษมนุษย์” หรือ “ผู้มีทัศนคติอันมืดมัว” หรือกระทั่ง “ผีดูดเลือด” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

และการที่ “นายจอห์น โบลตัน” ไม่ได้ไปโผล่หน้า-โผล่ตา ในการพบปะครั้งประวัติศาสตร์คราวนี้ ก็ดูจะส่งผลให้เกิดข่าวล่า-ข่าวลือในแวดวงนักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์ต่างประเทศ ตามมาเป็นจำนวนไม่น้อย บางรายอย่างเช่น “นายJohn Kiriakou” อดีตเจ้าหน้าที่ระดับซีไอเอถึงกับสรุปว่า...สถานะของ “นายจอห์น โบลตัน” ขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่าง “เอาคอพาดเขียง” (Bolton’s head was on the chopping block)เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือมีแนวโน้มที่กำลังจะ “ถูกถีบ” ออกไปจากคณะบริหารของ “ทรัมป์บ้า” เอาง่ายๆ โดยเฉพาะนับตั้งแต่มีข่าวคราว ว่าด้วยกรณีผู้นำอเมริกันตัดสินใจยกเลิกปฏิบัติการโจมตีทางยุทธวิธีต่ออิหร่าน ก่อนหน้าที่จะเกิดการลงมือ ลงตีนแค่ 10 นาทีเท่านั้น รวมทั้งได้ออกมาแยกความเป็น “เหยี่ยว” ความเป็น “พิราบ” ในคณะบริหารรัฐบาลอเมริกันให้เห็นกันแบบชัดๆ จะจะ...

ส่วนท้ายที่สุดแล้ว...บรรดาพวก “สามมิตรแห่งอเมริกา” หรือบรรดาพวกสายเหยี่ยวทั้งหลาย ไม่ว่า “นายจอห์น โบลตัน” “นายไมค์ ปอมเปโอ” หรือ “นางจีนา แฮสเปล” จะมีอันต้องถูกถีบ หรือต้องหมดบทบาทไปจากรัฐบาลอเมริกันในช่วงระยะข้างหน้าหรือไม่ อย่างไร? อันนั้น...คงต้องคอยติดตามตรวจเช็กกันดูอีกที แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...โดยท่าทีความเคลื่อนไหวของผู้นำอเมริกาในช่วงหลังๆ นี้ ชักเริ่มออกอาการ “หายบ้า” อย่างเห็นได้ถนัดชัดเจนมิใช่น้อย โดยเฉพาะในช่วงระหว่างการประชุม “G20” คราวนี้ ที่บรรดานักวิเคราะห์หลายราย ไม่ว่า “นายAndre Vltchek” นักวิเคราะห์การเมืองชาวรัสเซีย “นายPaul Ingram” ผู้อำนวยการบริหาร “British American Security Information Council” ไปจนถึง “นายAndrew Leung” นักวิเคราะห์และนักการเมืองชาวฮ่องกง ที่มีฐานะเป็นถึงประธานสภานิติบัญญัติ ซึ่งได้ตั้งวงคุยกับสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” และเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกันว่า ในเวทีการประชุม “G20” คราวนี้...ผู้นำอเมริกันได้พูดถึงสิ่งดีๆ หลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย จีน ไปจนถึงเกาหลีเหนือ เช่นความพยายามหาทางประนีประนอมกับรัสเซีย ในเรื่องข้อตกลงจำกัดอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (INF) ที่อเมริกาเคยสะบัดตูดออกไปก่อนหน้านั้น เรื่องการไม่คิดขึ้นภาษีการค้าเพิ่มเติมสินค้าจีนอีก 300,000 ล้านดอลลาร์แถมยังยกเลิกข้อห้ามการทำธุรกรรมกับบริษัทเทคโนโลยีของจีน อย่างบริษัท “หัวเว่ย” ซะอีกต่างหาก ไปจนกระทั่งการอ้างแหล่งข่าววงใน ว่าระหว่างการพบปะของผู้นำอเมริกากับผู้นำฝรั่งเศส “ทรัมป์บ้า” ยังได้บอก “มาครง” เอาไว้ด้วยว่า ถ้าหากฝรั่งเศสสามารถเกลี้ยกล่อมให้อิหร่านเริ่มต้นเจรจาในข้อตกลงนิวเคลียร์ใหม่ อเมริกาก็อาจกลับไปร่วมมือใน “ข้อตกลงปารีส” หรือข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ภายในปลายปีค.ศ. 2020 เอาเลยถึงขั้นนั้น...ฯลฯ...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ชักออกอาการ “พิราบ” หรือเริ่มคิดจำแลงแปลงร่าง จาก “อีแร้ง” มาเป็น “นกพิราบ” กันมั่งแล้ว แต่ทั้งนั้น ทั้งนี้บรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลาย ก็ยังไม่ถึงกับปักใจ หรือยังไม่กล้ารับประกันการันตี ว่าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะ “หายบ้า” แบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ด้วยเหตุเพราะโดยลักษณะอาการ หรือโดย “วาสนา” ของผู้นำอเมริการายนี้ สามารถพลิกไป-พลิกมา กลับไป-กลับมา ได้ทุกเมื่อ หรือยังหนักไปทาง “บ้า...ก็...บ้าวะ” มาโดยตลอด เช่นเดียวนักวิเคราะห์แห่งจีนแผ่นดินใหญ่ หรือคอลัมนิสต์ อย่าง “นายXu Hailian” ที่ได้แสดงข้อคิด ความเห็น เอาไว้ในบทความเรื่อง “US anti-China hawks may yet scupper trade deal” เผยแพร่ผ่านสื่อทางการของจีน อย่าง “Global times” เมื่อไม่กี่วันนี้ ด้วยการชี้ให้เห็นถึงบทบาทของบรรดาพวก “เหยี่ยว” ทั้งหลายอเมริกา ว่ายังคงไม่หมดฤทธิ์ หมดเดชลงไปง่ายๆ แต่การแสดงออกของบรรดาผู้ “ต่อต้านจีน” ในอเมริกา ที่ออกจะขัดแย้งกับท่าทีของผู้นำอเมริกาอย่างเห็นได้ชัดเจนในช่วงนี้ อาจถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า “ระบบการเมืองในอเมริกาทุกวันนี้...กำลังปรากฏรอยร้าวชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ”...

ดังนั้น...การอาศัย “หมากล้อม” ค่อยๆ กด ค่อยๆ บีบ ค่อยๆ คลึงต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้พวก “สายเหยี่ยว” หันไปใช้ “จุดแข็ง” ที่สุดของความเป็นจักรวรรดินิยมอเมริกา นั่นคือการหันไปใช้ “พลังอำนาจทางทหาร” เป็นตัวชี้ขาด หรือทำให้พวก “บ้าสงคราม” ต้องหมดบทบาท ไม่มีโอกาสคว้าม้า คว้าเรือมาโขกกลางกระดาน “หมากรุก” อีกต่อไป โลกก็อาจพอมี “สันติภาพ” ได้มั่ง แม้จะต้อง “บ้า...ก็...บ้าวะ” กันไปเป็นช่วง เป็นระยะก็ตามที...


กำลังโหลดความคิดเห็น