xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**สุดท้ายก็ "ลุงตู่" ผูกเองต้องแก้เอง เบื้องหลังสยบ "สามมิตร" เคลียร์ใจ พลังประชารัฐ ขัดแย้งแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี
ภาพบรรยากาศที่ชื่นมื่นของสมาชิกกลุ่มต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะ"กลุ่มสามมิตร"ของ"สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" ที่สองสามวันที่ผ่านมา ฟาดงวงฟาดงา กราดเกรี้ยวไม่พอใจเรื่องจัดสรรโควตารัฐมนตรีของพรรค บ่งบอกถึงบารมีของ"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นาทีนี้นั้น "เอาอยู่"
ในการแถลงข่าวที่มี "อุตตม สาวนายน" หัวหน้าพรรค ร่วมกับ "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ- สมศักดิ์ เทพสุทิน" แกนนำกลุ่มสามมิตร นั่งโต๊ะร่วมกัน ถ้อยคำยืนยันชัดว่า ปัญหาภายในพรรคยุติลงด้วยการยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรีจัดให้ และจะไม่มีการขับไล่ "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" ออกจากเลขาธิการพรรค
หัวหน้าพรรค ระบุว่าความเห็นต่างเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่พรรคเราอาจจะเสียงดังไปหน่อย โดยกรณีของกลุ่มสามมิตรนั้นได้มีการแจ้งกับตนเองแล้ว ถึงผลการหารือภายในกลุ่ม และได้สะท้อนความคิดในฐานะ ส.ส. เมื่อสะท้อนแล้ว เรื่องทั้งหมดก็จบลงตรงนั้น ... ส่วนขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล และจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นเรื่องของ"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ที่จะพิจารณาและดูแลต่อไป ...
ส่วน"สุริยะ" กล่าวว่า "การแถลงวันนี้ แค่อยากชี้ให้เห็นว่า กลุ่มสามมิตร จะไม่สร้างปัญหาให้นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี คงทราบข้อมูลแล้ว เราเลยมาตกลงกัน เพื่อให้นายกรัฐมนตรีสบายใจ และไปทำงานเพื่อประเทศชาติ ใครจะอยู่ตรงไหน ยังไง เรามอบอำนาจเด็ดขาดให้นายกฯ ตัดสินใจ"
เมื่อ"สามมิตร" ยอมตาม"ลุงตู่" นี่ก็อาจจะบอกเป็นนัยว่า โผครม.สามมิตรได้ส่วนแบ่งตามที่ลุงตู่เคาะล่าสุด ซึ่งมีหลุดโผไปสองคนตามข่าว ขณะที่ "สุริยะ" ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่"สนธิรัตน์" เป็นรมว.พลังงาน เหมือนที่ตั้งใจไว้
*เรื่องนี้ว่าไปแล้วก็เป็นไปตามที่วิเคราะห์ คือ เมื่อต้นตอของความขัดแย้งมาจากลุง ลุงผูกเอง ก็ต้องลงมือแก้เองเป็นธรรมดา
ว่ากันว่า โควตารัฐมนตรีว่าการ ก็เป็นลุงตู่สกรีนเอง ดูเอง หลายๆ เก้าอี้ก็เป็นโควตาของลุงๆ จิ้มกันลงมาแต่แรก ไม่ได้เป็นไปตามระบบพรรคที่ควรจะเป็นเรื่องมันก็เลยวุ่นจบไม่ลง เมื่อเจอฤทธิ์เดชเกมต่อรองของนักการเมืองเข้าไปอีก ยิ่งแก้ ก็ยิ่งไปกันใหญ่
จากวิธีเลือกส่งสารแทนการพูด จนคนเขาเก็บไปตีความว่า เป็นคำขู่สื่อ นัยยะ "ปฎิวัติซ้ำ" มาถึงไม้อ่อน ที่แว่วว่าทั้งโทรคุยเรียกคุย จนศิโรราบ "สามมิตร"ยอมถอย กลุ่มอื่นๆ ในพรรคพลังประชารัฐ ยอมสงบ ก็ต้องนับว่า"ลุงตู่" แสดงออกได้สมบทบาทผู้นำ
นอกจากนี้ ลุงตู่มีตัวช่วยในการสยบก๊ก ก๊วนนักการเมืองในพลังประชารัฐ ชะงัดนัก... ที่คนอาจจะลืมไปว่า ที่พลังประชารัฐ ชนะเลือกตั้ง ไม่ได้เพราะสามมิตร หรือ กลุ่มไหนเป็นพิเศษ แต่ที่เข้ามาเป็นส.ส.ได้เพราะคนเขาเลือก "ลุงตู่อยู่ต่อ" หรือเป็น ส.ส.ได้เพราะอาศัย"ชื่อของลุงตู่"
เหนืออื่นใด ต้องไม่ลืม "ส.ว.250" พลังสำรองกองหนุนในรัฐบาล เป็นอีกปัจจัยให้นักการเมืองที่รวมกันในพลังประชารัฐ ไปด้วยกับลุงตู่ ในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาลชุดใหม่ ... ฝ่าด่าน"ศึกชิงเก้าอี้" มาได้ ดูเหมือนจะทำให้ฝ่ายทีมลุงตู่จะตีปิ๊บยืดอก "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะ"พี่ใหญ่"ถึงกับชมเปาะ กับวิธีการที่พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯน้องรัก จัดการนักการเมืองว่า "เด็ดขาด"
แต่หนทางยังอีกยาวไกล งานนี้เพิ่งเริ่มต้น ก็ต้องดูกันต่อไป .

** 5 คำร้องที่ "เรืองไกร"ยกมาร้องต่อกกต. เกี่ยวกับ"ลุงตู่"และพรรคพลังประชารัฐ ถูกตีตกหมด แบบนี้ต้องรอดูฝ่ายตรงข้าม จะติดแฮชแท็ก พลังประชารัฐทำอะไรก็ไม่ผิด หรือไม่

กรณี "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" นักร้องที่ยืนฝั่งตรงข้ามคสช. ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. เกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐ และ"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำผิดรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมายเลือกตั้งส.ส. รวม 5 เรื่อง บางเรื่องอ้างถึงโทษ "ยุบพรรค" นั้น บัดนี้ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เผยว่า กกต.มีมติ "ยกคำร้อง"ไปทั้งหมดแล้ว
เริ่มด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับ"ลุงตู่" ก่อน โดย"เรืองไกร" ยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ จากการเสนอชื่อ "ลุงตู่" เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าไม่เป็นไปตามข้อบังคับพรรค ที่เจ้าตัวต้องมีหนังสือยินยอม ก่อนที่พรรคจะพิจารณาตามระเบียบข้อบังคับพรรค ข้อที่ 90 และ 91 แล้วลงมติ โดยผู้ร้องอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำหนังสือยินยอมภายหลังจากพรรคมีมติไปแล้ว ... เรื่องนี้ที่ประชุมกกต.เห็นว่า การลงมติเพื่อเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ ของพรรคพปชร. ดำเนินการโดยชอบแล้ว มีการเสนอชื่อ 3 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายอุตตม สาวนายน โดยในวันที่ 8 ก.พ. 62 ซึ่งเป็นวันที่พรรคพปชร. แจ้งรายชื่อบุคคล ที่พรรคมีมติเสนอสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกฯ ต่อกกต.นั้น มีหนังสือยินยอมของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เสนอชื่อได้มาก่อนแล้ว ดังนั้น การเสนอชื่อดังกล่าว จึงเป็นไปตามข้อบังคับพรรค ข้อ 90 และ ข้อ 91 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 13 และ 14 รวมถึงระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ข้อ 114 และ 115 แล้ว ...ประเด็นนี้จึงถูกตีตกไป
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ "พล.อ.ประยุทธ์" เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และเป็นหัวหน้าคสช.ด้วย ถือว่าเป็นข้าราชการ หรือ "เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ" ซึ่งห้ามมิให้เสนอชื่อเป็นนายกฯ หรือไม่ ... ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันมาก เนื่องจาก ตำแหน่งหัวหน้าคสช. ก็รับเงินเดือนจากรัฐ น่าจะเข้าข่ายเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ... ประเด็นนี้ กกต.มีมติว่า การประกาศชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ชอบด้วยกฎหมาย เป็นไปตามรธน. มาตรา 88 และมาตรา 89 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 13 และ มาตรา 14 ... นี่ก็ตกไปอีกประเด็น
ส่วนเรื่องที่ "ลุงตู่" เปิดเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ รวมทั้งเว็บไซต์ ส่วนตัว เข้าลักษณะ "เป็นเจ้าของสื่อมวลชนใดๆ" ที่อาจขัดต่อรธน. มาตรา 98(3) หรือไม่ ...กกต.มีมติว่า ไม่ถือว่าเข้าข่ายเป็นเจ้าของกิจการสื่อมวลชนใดๆ จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรธน.กำหนด
เป็นอันว่า ข้อสงสัยเกี่ยวกับ "ลุงตู่" ที่เข้ามาเกี่ยวพันกับพรรคพลังประชารัฐ ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ...ถูกตีตกไปทั้งหมด
คราวนี้มาถึงเรื่องเกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐโดยตรงบ้าง อย่างเรื่อง "โต๊จีนระดมทุน" ที่พรรคพลังประชารัฐ จัดใหญ่ ขายโต๊ะละ 3 ล้านบาท ที่เมืองทองธานี ช่วงก่อนหาเสียงเลือกตั้ง ที่"เรืองไกร" มองว่าเป็นการแสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน อันจะเข้าลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 20 วรรคสอง ของพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง หรือไม่ ประเด็นนี้มีโทษถึงยุบพรรค ... ปรากฏว่า กกต. มองว่า การจัดกิจกรรมระดมทุน เป็นการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาใช้ในกิจการพรรคการเมือง แม้จะขายโต๊ะจีนในราคาสูง แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนั้นๆ อีกทั้งกฎหมายก็มิได้จำกัดวงเงิน ของผู้สนับสนุนการระดมทุนไว้ ดังนั้น แม้การขายโต๊ะจีนในราคาสูง ก็มิใช่เป็นการขายสินค้า เพื่อแสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน จึงยังไม่เป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมือง ...
อีกประเด็น เป็นเรื่อง "แทกติก"ทางกฎหมาย ที่ "เรืองไกร"ไปขุดค้นมาว่า "นายอุตตม สาวนายน" ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพปชร. โดยที่ยังมิได้สมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร. นั้นขัด พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 16 ...เรื่องนี้ กกต. ไปตรวจสอบดูแล้ว เห็นว่า "นายอุตตม" มีการปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่การจดทะเบียนจัดตั้งพรรค จัดประชุมตั้งพรรค ในส่วนของผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรค จากนั้นเมื่อสภาพนิติบุคคลเกิดขึ้น เมื่อนายทะเบียนรับการจดจัดตั้ง ก็มีการเปิดรับสมัครสมาชิก ในวันที่ 8 พ.ย. 61 โดยนายอุตตม ได้ทำหนังสือแจ้งเรื่องการรับสมัครสมาชิกให้ กกต.รับทราบล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 5 วัน เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 61 และในวันดังกล่าว นายอุตตม ก็สมัครเป็นสมาชิกพรรค ชำระค่าบำรุงตามกฎหมายกำหนด ซึ่งเรื่องนี้ สำนักงาน กกต. เคยตอบข้อสอบถามของ"พรรคอนาคตใหม่" ว่าผู้ที่เข้าชื่อร่วมกันขอ
จดทะเบียนจัดตั้งพรรค และได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารพรรค จะเป็นสมาชิกต่อเมื่อได้ชำระค่าบำรุงพรรคแล้ว ดังนั้น การเป็นหัวหน้าพรรคของ "นายอุตตม" จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว และไม่เป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมือง
เป็นอันว่า ทั้ง5ประเด็นที่ "เรืองไกร"ร้องไปนั้น ถูกกกต. "ตีตกหมด" จึงไปไม่ถึงมือศาลรัฐธรรมนูญ ... แต่ กกต.ยังแจ้งว่า หาก "เรืองไกร" มีพยานหลักฐานใหม่ที่สำคัญ น่าจะทำให้ผลการพิจารณานี้เปลี่ยนแปลงไป ก็สามารถแจ้งให้กกต.พิจารณาอีกได้
เชื่อว่า หลังกกต. มีมติออกมาเช่นนี้ "ฝ่ายตรงข้าม" คงไม่หยุดการวิพากษ์วิจารณ์แน่ โดยเฉพาะในโลกโซเชียลฯ ที่ชอบถล่มกันในเรื่องแบบนี้ รอดูกันได้ อาจมีติดแฮชแท็ก "พลังประชารัฐ ทำอะไรก็ไม่ผิด" ไว้ล่อเป้า เรียกคอมเมนต์ ...

รูป- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา – อุตตม สาวนายน - สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ - สมศักดิ์ เทพสุทิน
- เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ - พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา



กำลังโหลดความคิดเห็น