xs
xsm
sm
md
lg

นาวา"ลุงตู่"ส่อล่มเร็ว นับถอยหลังยุบสภา !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

**ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าผลสำรวจความเห็นของประชาชนออกมาในวันไหน และสำนักไหนก็ตาม เชื่อว่าผลจะออกในแบบเดียวกันนั่นคือ "เบื่อหน่าย" นักการเมืองที่แย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรี แย่งชิงผลประโยชน์ที่ตามมาจากตำแหน่งรัฐมนตรี ที่แต่ละกลุ่มก๊วนในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลในเวลานี้ และความเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นทุกพรรค ไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคที่มีเสียงเพียงแค่ 1-2 เสียงเท่านั้น
และที่น่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย ก็คือ เป็นความขัดแย้งแย่งชิงที่เกิดขึ้นแบบต่อเนื่องรายวัน และยิ่งนับวันยิ่งส่อเค้าดุเดือด รุนแรง แบบไม่เกรงใจ หรือไว้หน้ากันอีกต่อไป เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ที่มีการรวมตัวกันของกลุ่มก๊วนที่เรียกว่า "กลุ่มสามมิตร" ถึงขั้นขู่เคลื่อนไหวขับไล่เลขาธิการพรรคกันเลยทีเดียว เพียงเพราะว่าคนในกลุ่มของตัวเองไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีตามที่ต้องการ
แม้ว่าต้นตอของความเคลื่อนไหวที่ว่านี้ มาจากสาเหตุที่แท้จริงแบบไหนก็ตาม หลังจากมีรายงานออกมาให้ได้ยินว่า มีแกนนำกลุ่มบางคนอาจไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรี หรือมีการเปลี่ยนแปลงกันใหม่ โดยที่มีบางคนอาจต้องหลุดโผ เช่น ตามข่าวบอกว่า "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" อาจไม่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมไปถึง "อนุชา นาคาศัย" สองในสามมิตร ที่ระบุว่า อาจหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากโผเดิม ที่มีการอ้างกันก่อนหน้านี้
จะจริง หรือไม่จริง ผิดเพี้ยนไปจากโผ หรือรายงานที่เผยแพร่ออกมาตามๆ กันหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่จากการเคลื่อนไหว และการแสดงท่าทีของบรรดาแกนนำบางคน เช่น "สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" แม้ว่าจะออกมาพูดแบบอ้อมไปอ้อมมา แต่ความหมายก็คือ ต้องการสื่อไปโดยตรงถึง "ผู้มีอำนาจ" หรือการที่บอกว่า "ชายชาติทหารต้องมีสัจจะคำไหนคำนั้น" เป็นต้น ซึ่งก็แปลได้ไม่ยากว่า ต้องการส่งสัญญาณไปถึง "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจในการจัดโผ และสกรีนรายชื่อคณะรัฐมนตรีขั้นสุดท้าย
** ซึ่งก็ได้ผล หลังจากมีการแสดงพลัง รวบรวมส.ส.ได้เป็นกลุ่มก้อน เคลื่อนไหวกดดัน หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้น บรรดาแกนนำพรรคพลังประชารัฐ "อุตตม สาวนายน" หัวหน้าพรรค และแกนนำนำกลุ่มสามมิตร เช่น สมศักดิ์ เทพสุทิน และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ร่วมกันแถลง บอกว่ายุติปัญหากันได้แล้ว และปล่อยให้เป็นอำนาจของ นายกรัฐมนตรี เพื่อขับเคลื่อนบ้านเมืองไปข้างหน้า ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ในเบื้องหลังต้องมีการ "เคลียร์กันลงตัว" แล้ว
แม้ว่าจะไม่มีรายละเอียดออกมาว่า จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรี ตามที่ต้องการหรือไม่ มีใครต้องหลุดออกไปบ้างหรือเปล่า แต่อีกด้านหนึ่งก็เชื่อว่า "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลงมาเคลียร์ปัญหาด้วยตัวเอง เพราะถือว่านี่คือการ "เคลียร์คัต" ในรอบสุดท้าย และยังเชื่อว่าจะต้องมีการสัญญากันเป็นมั่นเหมาะแบบให้ความหวังในทำนองว่าหากพลาดรอบนี้ ก็ให้รอรอบหน้า ซึ่งจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี "เขย่า" กันเป็นระยะ เหมือนกับที่นายกรัฐมนตรีได้เคยส่งสัญญาณออกมาให้เห็นก่อนหน้านี้มาแล้ว หรือจะมีตำแหน่งทางการเมืองกระจายให้ไปนั่งมากมาย
อย่างไรก็ดี จากความเคลื่อนไหวดังกล่าวมันสะท้อนให้เห็นถึง "อันตราย" ของรัฐบาล "เสียงปริ่มน้ำ" แบบนี้ แม้ว่าหากมองในแง่ดีในอีกมุมหนึ่งว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการทางการเมืองในรูปแบบใหม่ในแบบที่มีการ "รวมกลุ่มเป็นพันธมิตร" ทางการเมืองระหว่างพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล เหมือนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศเวลานี้ แต่สำหรับในประเทศไทย บรรดานักการเมืองยังถูกตั้งคำถามในเรื่องของการแย่งชิงผลประโยชน์ มากกว่าเรื่องอุดมการณ์ หรือแนวทางการเมือง
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวมาทั้งหมด มันก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีอายุสั้น ไม่น่าจะเกิน 3-6 เดือน เพราะหากจะยืนยันว่า ปัญหาแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ ก็คงเป็นไปไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามมันต้องเกิดขึ้นอีกเป็นระยะ ในแบบจุกจิกและปัญหาใหม่ที่จะปะทุขึ้นมาอีกแบบซ้ำซาก อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว
**ด้วยสารพัดปัญหาที่เป็นความเสี่ยงดังกล่าว มันก็เหมือนกับการนับถอยหลังไปสู่การยุบสภาเท่านั้น ขณะเดียวกันก็จะเป็นการเริ่มบทบาทใหม่ของ "บิ๊กตู่" ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองเต็มตัวอีกด้วย !!
กำลังโหลดความคิดเห็น