xs
xsm
sm
md
lg

‘ทรัมป์’ โกยคะแนนได้อื้อ...

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

การประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ จี20 จัดขึ้นที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น
เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากสำหรับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเดินทางไปร่วมประชุมกลุ่มประเทศ จี20 ที่เมืองโอซากา เพราะคุ้มค่าด้านเวลาค่าใช้จ่ายและน้ำมันเครื่องบินประจำตำแหน่ง แอร์ฟอร์ซ วัน

ผลที่ได้รับประเมินแล้วได้มากเกินคาด เอาคุยอวดคนอเมริกันได้อีกนาน!

ความสำเร็จบนเวทีการเจรจาระดับโลกครั้งนี้ทำให้ผู้นำทำเนียบขาวได้คะแนนไปหลายกระบุงโกย เอาไปสร้างราคารณรงค์หาเสียงเพื่อรักษาเก้าอี้ประธานาธิบดีในปีหน้า และถ้าทรัมป์ไม่ก้าวพลาดเสียท่าคงจะรักษาตำแหน่งไว้ได้ไม่ยาก

การประชุมกลุ่มประเทศ จี20 ทรัมป์ได้พบกับผู้นำชาติคู่ค้าพันธมิตรและชาติมหาอำนาจซึ่งเป็นคู่แข่งทั้งจีนและรัสเซีย ถือว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่ได้พบปะเพื่อสะสางปัญหาที่ค้างคาอยู่ และแสวงหาช่องทางสำหรับการเดินก้าวต่อไป

เวทีประชุมที่โอซากาเป็นเพียงเพื่อพิธีกรรม แต่งานหลักคือการเจรจาทวิภาคีระหว่างทรัมป์กับผู้นำชาติอื่นๆ แม้จะไม่เต็มรูปแบบก็ตาม และครั้งนี้ทรัมป์พบกับมกุฎราชกุมารคนดังของซาอุดีอาระเบีย โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน

เจ้าของชื่อย่อ “เอ็มบีเอส” ได้ถูกสังคมโลกประณามว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารโหดนักหนังสือพิมพ์คนชาติเดียวกัน แต่ไปอยู่ในสหรัฐฯ นายจามาล คาช็อกจิและการที่ทรัมป์ได้คุยกับเอ็มบีเอส ด้วยท่าทีมีไมตรีก็ถือว่าเป็นการรับรองระดับหนึ่ง

นอกจากนั้นทรัมป์ยังได้มีโอกาสพบผู้นำรัสเซียนายวลาดิเมียร์ ปูติน ได้พูดหยอกเชิงทีเล่นทีจริงว่า “ต่อไปอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งในสหรัฐฯ อีกนะ” และทรัมป์ก็รู้ว่ารัสเซียมีส่วนสำคัญทำให้ตัวเองชนะ และได้เป็นผู้นำทุกวันนี้

แต่สาระสำคัญและความสำเร็จอย่างมากที่ทำให้วงการธุรกิจการค้าการเงินของโลกได้โล่งใจอย่างมากก็คือ ได้มีข้อตกลงระหว่างผู้นำทำเนียบขาวและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ในการหยุดสงครามการค้า ไม่ให้ลามต่อไป

ทั้ง 2 ฝ่ายยังหาช่องทางเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้อยู่ในภาวะปกติต่อไปข้อตกลงที่สรุปได้ในการเจรจาระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่ายก็คือสหรัฐฯ จะไม่ขึ้นกำแพงภาษีของจีนในมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐที่ทรัมป์ยังมีท่าทีรีรออยู่

ทรัมป์ยังยอมให้บริษัทของสหรัฐฯ ขายอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ให้กับบริษัท หัวเว่ย ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีน ซึ่งถูกผู้นำสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรด้วยมาตรการปิดกั้นตลาดอย่างแรง ทำให้หัวเว่ยมีปัญหาในการขายโทรศัพท์

ท่าทีใหม่ของทรัมป์เท่ากับว่าบริษัทของสหรัฐฯ เช่น อินเทล ไมครอน กูเกิ้ล และบริษัทอื่นๆ จะได้ทำธุรกิจกับหัวเว่ย ถ้าไม่มีผลกระทบด้านความมั่นคง ที่ผู้นำสหรัฐฯ เคยอ้างว่าเป็นความเสี่ยงภัยด้านความมั่นคง แต่ถูกปฏิเสธโดยกลุ่มหัวเว่ยตลอดมา

แต่ผู้นำทำเนียบขาวยังไม่แตะต้องคดีที่ลูกสาวของประธานกลุ่มหัวเว่ยถูกดำเนินคดีที่แคนาดาและรอการถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปสหรัฐฯ ขณะเดียวกันทรัมป์ก็อ้างว่าผู้นำจีนได้ตกลง รับปากว่าจะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่ามหาศาล

ข้อตกลงนี้ดูเหมือนว่าผู้นำสหรัฐฯ ได้เปรียบ แต่ในความเป็นจริงสงครามการค้าซึ่งทรัมป์เป็นฝ่ายเริ่มก่อนและโดนตอบโต้จากจีนอย่างสมน้ำสมเนื้อนั้น ได้สร้างความเสียหายให้กับทั้งสองฝ่ายเหมือนการเล่นสาดน้ำรดกัน ย่อมจะต้องเปียกทั้งคู่

ที่ผ่านมาชาวนาและเกษตรกรอเมริกันผู้ปลูกถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ประสบปัญหาหนักเพราะจีนงดหรือลดการสั่งซื้อเป็นมาตรการตอบโต้ ภาคอุตสาหกรรมก็เช่นเดียวกันต้องนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ จากจีน

ในภาคเกษตร ทรัมป์ทำให้ส่งผลกระทบมาก รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยมากถึง 28 พันล้านเหรียญเพื่อชดเชยเยียวยาผลกระทบให้กับเกษตรกรอเมริกัน ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของทรัมป์ในการชนะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และยังหวังในปีหน้าอีกด้วย

ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องจ่ายแพงสำหรับสินค้าต่างๆ ที่ใช้ในบ้านซึ่งต้องนำเข้าจากจีนทำให้ต้นทุนชีวิต ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น เพราะจีนได้ส่งสินค้าไปเข้าตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่าถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ซื้อสินค้าสหรัฐฯ ไม่ถึง 2 แสนล้านเหรียญ

แต่ที่ทรัมป์ได้โกยกำไร ตีกินด้านภาพลักษณ์มากคือการได้พบกับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคนแรกที่ได้เหยียบแผ่นดินเกาหลีเหนือขณะที่ดำรงตำแหน่ง แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม

การพบปะครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันในท่วงท่าของมิตรไมตรีเกือบ 1 ชั่วโมงซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ซึ่งทรัมป์ได้เดินออกจากที่ประชุมเมื่อทั้งคู่พบกันในกรุงฮานอยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลวของทั้งสองฝ่าย

ช่วงที่ทรัมป์อยู่ที่โอซากาก็ได้ส่งข้อความเมื่อวันเสาร์ในทำนองว่าอยากพบกับผู้นำเกาหลีเหนือ และก็ได้รับคำตอบว่าคิม จองอึน ยินดีที่จะพบกันในพื้นที่ของเขตปลอดทหาร ปันมุนจอม ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้

เมื่อผู้นำเกาหลีเหนือตอบรับ ทรัมป์ก็เดินทางจากโอซากามากรุงโซล เมืองหลวงเกาหลีใต้ จากนั้นก็เดินทางไปชายแดนกับผู้นำของเกาหลีใต้ ซึ่งรับบทเป็นผู้ประสานแต่ไม่ได้เข้าร่วมการเจรจา ปล่อยให้ทั้งคู่พบปะกันตามลำพัง

ทรัมป์ได้ก้าวข้ามชายแดนเกาหลีใต้ เข้าไปในเกาหลีเหนือ คิมก็บอกว่าตนเองไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้พบกัน เมื่อเจรจากันด้วยภาษาดอกไม้ ทั้งสองฝ่ายจะจัดทีมเจรจากันต่อไป ทรัมป์เชิญคิมไปเยือนกรุงวอชิงตัน ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่

ครั้งนี้ถือว่าทรัมป์ประสบความสำเร็จมากที่สุด เอาไปคุยฟุ้งหาเสียงได้อีกนาน


กำลังโหลดความคิดเห็น