xs
xsm
sm
md
lg

อิสราเอลกับการสร้างวิหารพระเจ้าครั้งที่ 3

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

มัสยิดอัลอักซอในนครเยรูซาเลมของอิสราเอล
วันนี้...เห็นทีคงต้องร่อนจากกรุงโอซากา ประเทศญี่ปุ่น สถานที่จัดประชุมกลุ่มประเทศ G20 มุ่งตรงมายัง “กรุงเยรูซาเล็ม” ประเทศอิสราเอลแบบชนิดฉับพลัน-ทันที ด้วยเหตุเพราะปรากฏข่าวคราวชิ้นหนึ่ง ที่อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ถึงกับใหญ่โตโอ่โถงระดับโลกมากมายสักเท่าไหร่ และผู้คนในบ้านเราอาจไม่ถึงกับให้ความสนใจอะไรกันมากมาย นั่นก็คือข่าวคราวเรื่องตำรวจอิสราเอลบุกเข้ารวบตัวรัฐมนตรีกิจการเยรูซาเล็ม ของรัฐบาลปาเลสไตน์ คาบ้านพัก นำตัวมาสืบสวน สอบสวน เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (30 มิ.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง...

แต่สำหรับใครก็ตาม...ที่เคยได้อ่านข้อเขียน บทความของเหยี่ยวข่าวสารระดับอินเตอร์ อย่างคุณ “Whitney Webb” ที่ได้เผยแพร่ไว้ในสำนักข่าว “Mint Press News” ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์สัปดาห์ที่แล้ว (24 มิ.ย.) หรือก่อนหน้าการจับกุมตัวรัฐมนตรีปาเลสไตน์เกือบสัปดาห์เต็มๆ ที่ตั้งชื่อเอาไว้ว่า “In Israel the Push to Destroy Jerusalem’s Iconic Al-Aqsa Mosque Goes Mainstream” หรือความพยายามผลักดันให้มีการรื้อถอนทำลาย “มัสยิดอัลอักซอ” ศาสนสถานที่ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันดับ 3 ของชาวมุสลิมทั่วทั้งโลก ที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า ชนิดถือเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเยรูซาเล็มมานับเป็นพันๆ ปี มาถึง ณ ขณะนี้ ได้กลายเป็นแนวคิด “กระแสหลัก” ในหมู่ชาวอิสราเอล หรือบรรดาผู้มีอำนาจบทบาททางการเมืองในอิสราเอลไปแล้ว คงหนีไม่พ้นต้องขนลุก ขนตั้งขึ้นมามิใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเห็นข่าวคราวการรวบตัว “นายฟาดี อัล-ฮาดามี” (Fadi al-Hadami) รัฐมนตรีกิจการเยรูซาเล็มชาวปาเลสไตน์ อุบัติขึ้นมาสอดคล้องรองรับ กับเนื้อหาสาระในข้อเขียนดังกล่าวแบบพอดิบพอดี...

คือเหตุผลที่ตำรวจอิสราเอลบุกไปรวบตัวรัฐมนตรีปาเลสไตน์คาบ้านพักนั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าด้วยเหตุเพราะท่านรัฐมนตรีรายนี้ ท่านได้นำพาผู้นำประเทศชิลี คือ “นายเซบาสเตียน ปิเนรา” (Sebastian Pinera) ไปเยี่ยมชมศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม อย่างมัสยิด “อัลอักซอ” ที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณด้านตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม อันไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์ซึ่งถูกเสือกไสไล่ส่ง โดยกองทัพอิสราเอลมาตั้งแต่อดีต แต่ยังเป็นเสมือนศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของชาวปาเลสไตน์ผู้นับถือศาสนาอิสลามโดยทั่วไป อีกทั้งยังอาจถือเป็น “สัญลักษณ์” ของความเป็นอิสระ หรือแม้แต่ความเป็นเอกราชของ “ประเทศปาเลสไตน์” ในวันข้างหน้าได้อีกด้วย...

แม้ว่าถ้อยแถลงในการจับกุมรัฐมนตรีปาเลสไตน์ของตำรวจอิสราเอล จะไม่ถึงกับแจ่มแจ้งชัดเจน แต่ได้พยายามเน้นย้ำให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า “การล่วงละเมิดอำนาจอธิปไตยของอิสราเอล” ที่ครอบคลุมอยู่เหนือทุกๆ พื้นที่ทั่วทั้งกรุงเยรูซาเล็ม ไม่เว้นแม้แต่อาณาบริเวณเยรูซาเล็มตะวันออกที่เต็มไปด้วยชาวปาเลสไตน์ หรือแม้แต่พื้นที่ตั้งศาสนสถานของชาวมุสลิม อย่าง “มัสยิดอัลอักซอ” หรือ “โดมแห่งศิลา” (Dome of the Rock) ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาทาบทับ “วิหารแห่งพระเจ้าของชาวยิว” เมื่อหลายพันปีที่แล้ว ดังนั้น...การที่คนระดับ “รัฐมนตรี” ซึ่งพยายามดิ้นรนเป็นอิสระจากอำนาจอธิปไตยของอิสราเอล ไปพบปะ จูงมือถือแขนผู้นำระดับประเทศ อย่างประธานาธิบดีชิลี จึงถือเป็นเรื่องซีเรียส หรือเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด สำหรับรัฐบาลอิสราเอล ผู้ซึ่งพยายายามบีบบังคับให้โลกทั้งโลก ต้องยอมรับสภาพว่ากรุงเยรูซาเล็มทั้งมวลเป็นของอิสราเอล โดยมีมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้ให้การรับประกันการันตีมาก่อนหน้านั้น แม้จะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หรือแม้ถือเป็นการ “ฝ่าฝืนมติสหประชาชาติ” อย่างตรงไป-ตรงมาก็ตาม...

โดยถ้าว่ากันตามเนื้อหารายละเอียด ในข้อเขียนบทความของ “Whitney Webb” การจับกุมรัฐมนตรีปาเลสไตน์คราวนี้ ต้องถือว่าไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านั้น...เมื่อประมาณเดือนที่แล้วนี่เอง ตำรวจอิสราเอลก็เคยบุกรวบตัว “คณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะมัสยิดอัลอักซอ” (Al-Aqsa Mosque Compound’s Reconstruction Committee) ทั้งตัวผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการถึง 3 รายด้วยกัน อันประกอบไปด้วยบรรดา “นักเทคนิค” ซึ่งถูกมอบหมายโดยรัฐบาลจอร์แดน ที่บรรดาชาติอาหรับมอบความไว้วางใจให้เป็นผู้บริหารจัดการศาสนสถานแห่งนี้มาตั้งแต่แรก ให้คอยช่วยซ่อมแซม รักษาสภาพของอาคารสถานที่ไม่ให้เสื่อมโทรม ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่แม้จะเป็นเพียงนักเทคนิค ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อขัดแย้งทางการเมืองใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ก็ดันถูกขัดขวาง ถูกรวบตัวไม่ให้ซ่อม ไม่ให้สร้าง ไม่ให้ดูแลรักษาสถานที่แห่งนี้ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แถมยังสั่งห้ามไม่ให้นำเอาอุปกรณ์ เครื่องมือที่จำเป็นในการฟื้นฟูบูรณะเข้าไปในพื้นที่อีกต่างหาก รวมทั้งยังจับตัวชาวบ้านและหน่วยรักษาความปลอดภัยที่อยู่ใกล้ๆ ศาสนสถานแห่งนี้ไปอีก 7 คน เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยไม่ได้แจ้งเหตุผลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย....

ด้วยการกระทำทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้รัฐบาลจอร์แดนไม่เพียงแต่ต้องออกมาตำหนิ “การจับกุมอย่างไร้เหตุผล” ของตำรวจอิสราเอลยังถึงกับสรุปเอาไว้ด้วยว่า อิสราเอล “พยายามแทรกแซงการบูรณะศาสนสถานของชาวมุสลิม” อย่างโจ่งแจ้ง ชัดเจน จนแม้แต่กษัตริย์จอร์แดน อย่าง “King Abdullah 2” ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นระบายออกมาในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ว่าพระองค์กำลังถูกกดดันอย่างหนัก ในการแบกรับภาระกิจการเป็นผู้ดูแลรักษาศาสนสถานอย่าง “มัสยิดอัลอักซอ” โดยแม้ว่าพระองค์จะไม่ได้อธิบายถึงรายละเอียดออกมาให้ชัดๆ จะจะ แต่ข่าวคราวเรื่องความพยายามของทั้งรัฐบาลอเมริกันและอิสราเอล ที่จะหาทางเปลี่ยนแปลงผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษาศาสนสถานแห่งนี้ จากประเทศจอร์แดนไปเป็น “ซาอุดีอาระเบีย” พันธมิตรเคียงบ่า-เคียงไหล่ของอเมริกาและอิสราเอล ก็น่าจะนำมาใช้เป็นตัวสะท้อนความอึดอัดของกษัตริย์จอร์แดนได้เป็นอย่างดี ยิ่งมีข่าวล่า ข่าวลือ ผสมโรงออกมาด้วยว่า แนวทางการรักษาศาสนสถานแห่งนี้ของผู้อำนาจทางการเมืองในซาอุฯ ก็คือการวางแผนว่าอาจต้องรื้อชิ้นส่วนต่างๆ ของโดมแห่งศิลาและมัสยิดอัลอักซอ แล้วนำไปประกอบใหม่ไว้ที่ราชอาณาจักรซาอุฯ กันแทนที่ อันจะช่วยให้พื้นที่ดังกล่าวโล่งโถง โล่งเตียน พอที่จะสร้าง “วิหารพระเจ้าของชาวยิวครั้งที่ 3” ขึ้นมาแทนที่ได้นั่นเอง...

ใครที่อยากรู้รายละเอียด ตื้น-ลึก-หนา-บางในเรื่องนี้ คงต้องไปหาอ่านบทความของคุณ “Whitney Webb” เอาเองก็แล้วกัน แต่ถือเป็นบทความที่มีเหตุผล มีน้ำหนักมิใช่น้อย ไม่ใช่แค่คิดเอง-เออเองไปตามเรื่องตามราว ยิ่งถ้านำเอาความเคลื่อนไหวต่างๆ ของรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากบรรดาพวก “เหยี่ยว” ในอเมริกา เข้ามาเป็นองค์ประกอบในการใคร่ครวญพิจารณาด้วยแล้ว ไม่ว่าการประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลของคุณพ่ออเมริกา การเปิดไฟเขียวให้อิสราเอลผนวกเอาดินแดนที่ราบสูงโกลันของซีเรีย มาเป็นดินแดนอิสราเอล เปลี่ยนชื่อเป็น “ที่ราบสูงทรัมป์” เอาเลยถึงขั้นนั้น รวมทั้งการประกาศผนวกเขตเวสต์แบงก์พื้นที่หลบภัย ลี้ภัย ชาวปาเลสไตน์ให้เป็นดินแดนอิสราเอลอีกด้วยต่างหาก ไปจนถึงการประดิษฐ์คิดค้น “แผนสันติภาพตะวันออกกลาง” ที่เรียกๆ กันว่า “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” (Deal of the Century) โดยฝีมือของชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ผู้มีฐานะเป็น “ลูกเขยประธานาธิบดีอเมริกัน” อย่าง “นายจาเร็ด คุชเนอร์” ที่พร้อมจะลบ “ประเทศปาเลสไตน์” ออกจากแผนที่โลก โดยอาศัย “เงินฟาดหัว” ประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ ปิดปากชาวปาเลสไตน์และชาติอาหรับบางชาติ แนวคิดในการ “รื้อศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับ 3 ของชาวมุสลิมทั่วทั้งโลก” ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อเปิดที่ เปิดทางให้กับการสร้าง “วิหารครั้งที่ 3” ของชาวยิว อันอาจนำไปสู่ฉากสถานการณ์ในระดับ “วันสิ้นยุค” ตามคำทำนายของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย จึงปรากฏเค้าโครงให้เห็นขึ้นมาแล้วรางๆ และเป็นอะไรที่น่าขนลุกขนตั้งมิใช่น้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น