xs
xsm
sm
md
lg

จากสงครามเลือดถึงสงครามไซเบอร์

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

นางจีนา แฮสเปล ผู้อำนวยการซีไอเอ
มาถึง ณ วินาทีนี้...ต้องเรียกว่า “เบา” ลงไปเยอะแล้ว สำหรับความน่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง ว่ามหาอำนาจสูงสุดระดับโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา จะเกิดอาการซุกซนถึงขั้นคิด “เปิดกล่องแพนโดรา” ด้วยการเปิดฉากถล่มอิหร่านหรือไม่ อย่างไร? เพราะผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ขั้นสุดท้าย อย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ออกมาแสดงตัวตนให้เห็นค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ยังไม่ถึงกับ “บ้า” แบบชนิดเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์ ยังมีสติสัมปชัญญะพอที่จะสั่งระงับแผนปฏิบัติการ ก่อนหน้าที่จะเกิดการลงมือ ลงตีน ในช่วงประมาณ 10 นาที นี่...ถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ของ “The Wall Street Journal” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา...

ส่วนผู้ที่ “บ้ากว่า” หรือบ้าแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์...และตัวประธานาธิบดีอเมริกันเอง ก็ได้ออกมาเปิดเผยแบบตรงไป-ตรงมา ว่าได้แก่บรรดา “ทีมงานที่ปรึกษาความมั่นคง” ที่อยู่รายรอบตัวเองนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น “ไอ้หนวดอำมหิต” อย่าง “จอห์น โบลตัน” ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “ไมค์ ปอมเปโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศ ไปจนถึง “นางจีนา แฮสเปล” ผู้อำนวยการซีไอเอผู้ได้ชื่อ ฉายา ว่า “เจ้าแม่แห่งการทรมาน” อะไรประมาณนั้น ฯลฯ ที่ถูกสรุปรวมๆ จากคำให้สัมภาษณ์ของผู้นำอเมริกันเผยแพร่ไปยังสำนักข่าวต่างๆ ประมาณว่า “พวกคนเหล่านี้ต้องการผลักดันให้เรา(สหรัฐฯ)เข้าสู่สงคราม ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารังเกียจเอามากๆ เพราะเราไม่ต้องการสงครามอีกต่อไปแล้ว!!!”...

นอกเหนือไปจากนั้น...เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (23 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ระหว่างการตอบคำถามพิธีกร “ชัค ทอดด์” ในรายการ “Meet the Press” “ทรัมป์” ที่ยังไม่ถึงกับบ้า...ได้พูดถึงบรรดาผู้คนที่รายรอบตัวเองเอาไว้อย่างน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ผมมีกลุ่มคนอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน คือทั้งพวกเหยี่ยวและพิราบ แน่นอนว่า...สำหรับที่ปรึกษาโบลตันนั้น ย่อมต้องเป็นสายเหยี่ยวอยู่แล้วแน่ๆ และถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา รับรองว่า...เราคงได้รบกับผู้คนทั่วทั้งโลก” อีกทั้งยังได้ยืนยันถึงสรรพคุณของตัวเองเอาไว้ด้วยว่า “มีคนพูดกันว่า...ผมเป็นพวกกระหายสงคราม แต่เดี๋ยวนี้พวกเขาคงยอมรับแล้วว่า ผมก็คือพวกพิราบ” นี่...ต้องเรียกว่า อะไรจะบ้าได้น่ารัก น่าใคร่ ถึงเพียงนั้น...

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...การที่ผู้นำอเมริกันตัดสินใจขั้นสุดท้าย ในการยกเลิกแผนปฏิบัติการยิงขีปนาวุธโจมตีอิหร่านคราวนี้ ก็ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะราบเรียบ ราบรื่น อีกต่อไปก็หาไม่ เพราะการหันมาใช้ “อาวุธทางเศรษฐกิจ” กันแทนที่ คือการประกาศแซงชั่นรอบใหม่ต่ออิหร่าน ในช่วงระยะก่อนหน้าที่การประชุม G20 จะเริ่มต้นขึ้น ก็เป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย ถึงขั้นที่สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” ต้องเอาไปวิเคราะห์ ตีความ ว่า “หมาก” ตานี้...อาจถูกนำไปเกี่ยวโยงกับการพบปะเจรจา ระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับ “สี ทนได้” ผู้นำจีน เอาเลยก็ไม่แน่!!! หรืออาจถูกนำไปใช้เป็นเครื่องต่อรองในการลดระดับความขัดแย้งใน “สงครามการค้า” ระหว่างจีนกับอเมริกา คือให้จีนเลิกสั่งซื้อแก๊สธรรมชาติจากอิหร่าน หันมาซื้อแก๊ส LNG จากอเมริกากันแทนที่ หรือทำให้อเมริกาสามารถเดินหมากแบบ “กินสองต่อเข้าฮอร์ส” ได้ทั้งลดระดับความขัดแย้งทางการค้ากับจีนไปพร้อมๆ กับการสร้างแรงกดดันต่ออิหร่าน ตามคำประกาศจะทำให้ “การส่งออกพลังงานต้องเหลือศูนย์” อะไรทำนองนั้น...

ซึ่งอันนี้...จะเป็นไปตามคำวิเคราะห์คาดการณ์ของ “Global Times” เขาหรือไม่ อย่างไร? และจีนจะมีท่าทีต่อสิ่งเหล่านี้ในรูปไหน? คงต้องคอยติดตามกันไปเป็นระยะๆ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สื่อทางการของจีนรายนี้ ได้ให้ความสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือการที่กระทรวงกลาโหมอเมริกัน หันมาเปิดฉาก “สงครามไซเบอร์” ต่ออิหร่านอย่างเป็นระบบนับตั้งแต่บัดนี้ โดยถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ของหนังสือพิมพ์ “The New York Times” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (20 มิ.ย.) ที่ผ่านมา หน่วยบัญชาการไซเบอร์ของกองทัพสหรัฐฯ (US Cyber Command) ได้เริ่มต้นปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ ต่อระบบควบคุมการปล่อยขีปนาวุธอิหร่านอย่างเป็นระลอก รวมทั้งกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และ “NSA” ได้ป่าวประกาศให้บรรดาบริษัทเอกชนทั้งหลายอเมริกา เตรียมรับมือกับการตอบโต้ของอิหร่านอย่างเป็นกิจการ...

โดยแม้ว่าสงครามดังกล่าวอาจไม่ใช่ “สงครามเลือด” หรือไม่ถึงกับต้องเสียเลือด เสียเนื้อ แบบที่พวก “สายเหยี่ยว” ต้องการ แต่คอลัมนิสต์ของ “Global Times” อย่าง “Yan Yunming” เขาก็ได้แสดงออกถึงไม่สบายอก สบายใจอยู่พอประมาณ โดยพยายามเปรียบเปรยให้เห็นถึงลักษณะของสงครามชนิดนี้ว่า ถือเป็น “สงครามที่ปราศจากขอบเขต” (Unrestricted Warfare)อันอาจส่งผลให้เกิดความเสียหาย ฉิบหาย ชนิดหนักหนาสาหัสไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะถือเป็นสงครามที่แทบไม่รู้ว่าไผเป็นไผใครเป็นใคร เอาเลยก็ว่าได้ โดยผู้ที่ถูกโจมตีถูกเปิดศึกสงคราม อาจไม่ใช่แต่เฉพาะศัตรูคู่กัดของอเมริกาอย่างอิหร่านเท่านั้นเพราะถ้าว่ากันตาม “รายงานประจำปี” ของหน่วยงานรัฐบาลจีน อย่าง “CNCERT” (China’s National Computer Network Emergency Response Technical Team) ที่เพิ่งเผยแพร่อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา ว่าในช่วงปี ค.ศ. 2018 จำนวนระบบคอมพิวเตอร์ในจีนประมาณ 3.34 ล้านเครื่อง ได้ถูกโจมตีโดย “Trojan” จำนวน 14,000 ตัวและโดยส่วนใหญ่นั้น...มีที่มาจากอเมริกาไปด้วยกันทั้งสิ้น...

โดยเฉพาะในช่วงปี ค.ศ. 2010 ที่ได้มีการใช้ “หนอนคอมพิวเตอร์” ที่เรียกๆ กันว่า “Stuxnet” ซึ่งได้รับการเปิดเผยโดยผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน” ว่าเป็นการประดิษฐ์คิดค้น โดยความร่วมมือของสหรัฐฯ และอิสราเอล เพื่อใช้โจมตีโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ไปๆ-มาๆ แล้ว หนอนคอมพิวเตอร์ตัวนี้ ไม่ได้คิดชอนไชแต่เฉพาะระบบคอมพิวเตอร์ประมาณ 62,867 เครื่องในอิหร่านเท่านั้น แต่ยังลอดเลื้อยกระดุ๊บๆ เข้ามาสร้างปั่นป่วนให้กับระบบคอมพิวเตอร์ในจีน ไม่น้อยไปกว่า 6,000,000 เครื่อง!!!

ด้วยเหตุนี้...ถึงแม้ผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” อาจไม่ได้ถึงกับ “บ้าสงคราม(เลือด)” แบบบรรดาพวก “เหยี่ยว” หรือพวกทีมงานความมั่นคงที่อยู่รายรอบตัวเองก็ตาม แต่ยังไงๆ...ก็คงไม่น่าจะใช่พวก “พิราบ” อยู่แล้วแน่ๆ หรืออาจหนักไปทางพวก “นกแร้ง” ซะมากกว่า คือแม้ไม่ได้คิดเปิดศึกสงครามเลือดกับอิหร่าน แต่การหันมาเปิดฉาก “สงครามไซเบอร์” ไปพร้อมๆ กับการ “แซงชั่น” รอบแล้ว รอบเล่า แถมยังเอาการแซงชั่นไปใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง ในการฉวยโอกาส ฉวยประโยชน์แบบ “กูต้องมาก่อน” หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” ในทุกๆ กรณี ก็อาจส่งผลให้เกิดความเสียหาย ความฉิบหาย ต่อใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ไม่น้อยไปกว่ากัน หรือยังไงๆ...ต้องถือเป็นผู้นำที่ “อันตราย” ต่อชาวโลกและต่อมวลมนุษยชาติ อย่างมิอาจปฏิเสธได้ เพียงแต่ว่า...อาจแค่ “บ้าก็บ้าวะ” ไม่ถึงกับ “บ้าสมบูรณ์แบบ” เท่านั้นเอง...
กำลังโหลดความคิดเห็น