ศีล 5 ข้อสุดท้ายคือ งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ขาดสติในการควบคุมกาย และวาจา ซึ่งจะนำไปสู่การล่วงละเมิดศีล 4 ข้อที่เหลือได้
คำว่า สุรา หมายถึงน้ำเมา ซึ่งได้จากการต้มกลั่น ส่วนคำว่า เมรัย หมายถึงน้ำเมา ซึ่งได้จากการหมักดอง
น้ำเมาทั้งสองชนิดนี้ เป็นสิ่งต้องห้ามตามคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ในส่วนของศีล 5 และพระวินัยของพระภิกษุในปาจิตตียกัณฑ์
แต่ต่อมาได้มีสิ่งที่ทำให้ผู้เสพมึนเมา ในทำนองเดียวกับสุรา และเมรัยเกิดขึ้นมากมายหลายชนิด ซึ่งมีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฝิ่น และกัญชา เป็นต้น และเกิดขึ้นจากการผลิตของมนุษย์ เช่น ยาบ้า และเฮโรอีน เป็นต้น
ดังนั้น จึงทำให้เกิดข้อกังขาในหมู่ชาวพุทธว่า สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง และไม่ปรากฏอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนา ว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ถ้านำมาเสนอจะทำให้ผิดศีลข้อ 5 หรือไม่?
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ตอบได้เลยว่าผิด ทั้งนี้เนื่องจากว่า มีคำสอนอันเป็นบทเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังกับสิ่งที่เป็นข้อห้าม และข้ออนุญาตเรียกว่า มหาปเทส 4 คือ
1. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร
2. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร
3. สิ่งใดไม่ได้อนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร
4. สิ่งใดไม่ได้อนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร
โดยนัยแห่งมหาปเทส 4 ข้อที่ 1 สิ่งที่ทำให้ผู้เสพมึนเมา ในทำนองเดียวกันกับสุธา และเมรัย ซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง เช่น ฝิ่น กัญชา และยาบ้า เป็นต้น เป็นสิ่งต้องห้ามตามศีลข้อ 5 และพระวินัยของภิกษุสิกขาบทที่ 1 แห่งสุราปานวรรค ปาจิตตียกัณฑ์
แต่อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตให้นำสุรามาเป็นส่วนผสมของยา เพื่อรักษาโรคได้ และทรงอนุญาตให้นำสุราใส่ในอาหาร เพื่อชูรสและดับกลิ่นคาวได้ ดังที่พระอรรถาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า เหล้าแทรกยาควร แต่ยาแทรกเหล้าไม่ควร โดยนัยนี้หมายความว่า ถ้าปริมาณเหล้าเพียงเล็กน้อย ไม่ทำให้มึนเมาใช้เพื่อผสมกับยา และอาหารได้
จะด้วยพระพุทธานุญาตนี้เองกระมัง คนไทยจึงได้นำกัญชามาเป็นส่วนผสมของยาอายุวัฒนะบางขนาน มีสรรพคุณทำให้กินได้ นอนหลับ ขับถ่ายคล่อง และนำกัญชามาปรุงแกงเนื้อและแกงไก่ ทำให้มีรสชาติอร่อย เป็นที่นิยมของเหล่านักชิม
ในขณะนี้ กัญชากำลังเป็นข่าวใหญ่ ทำให้คนไทยตื่นตัว และบางรายถึงกับตื่นตูม ในทำนองเดียวกับคนตื่นทองกับข่าวที่ว่า กัญชาใช้เป็นยารักษาโรคได้หลายโรค แม้กระทั่งโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคร้ายแรง ใครเป็นแล้วมีโอกาสหายน้อย แต่มีโอกาสตายมาก
ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่ากัญชารักษาโรคมะเร็งได้ จึงทำให้คนไทยพากันตื่นตัว และในบางรายถึงขั้นตื่นตูมกับข่าวนี้ และนี่เองที่ทำให้พรรคการเมืองบางพรรคนำมาเป็นนโยบายส่งเสริมให้มีการปลูกกัญชา เป็นพืชเศรษฐกิจ และแม้กระทั่งสถาบันการศึกษาบางแห่งได้ทุ่มเทการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการนำกัญชามาเป็นยารักษาโรค พร้อมกับผลักดันให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายยกเลิกการห้ามปลูก และเสพกัญชา เพื่อเปิดโอกาสให้มีการปลูกกัญชาและนำมาผลิตเป็นยาได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนในฐานะเป็นชาวพุทธ และฐานะสื่อมวลชน จึงใคร่ขอให้ภาครัฐคิดให้รอบคอบก่อนที่จะอนุญาตให้มีการปลูกกัญชาเสรี หรือแม้กระทั่งการปลูกภายใต้การควบคุมเพื่อการค้นคว้าวิจัย และถ้าจะมีการส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจด้วยแล้วยิ่งต้องระวัง ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในการใช้กัญชาเป็นยารักษาโรค จะต้องไม่ลืมว่าผู้ป่วยทุกคนที่ได้รับการรักษา ไม่ว่าด้วยยาหรือวิธีการทางด้านการแพทย์อื่นใด มีทั้งที่หายและไม่หาย ในทำนองเดียวกัน ผู้ป่วยที่รักษาด้วยกัญชาก็มีทั้งที่หายและไม่หาย แต่ที่ต่างกันก็คือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา โดยใช้กัญชามีโอกาสติดกัญชากลายเป็นคนป่วย ด้วยการติดยาเพิ่มขึ้นอีกโรคหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการป้องกันการติดยา มิฉะนั้นประเทศไทยจะมีประชาชนที่เป็นทาสสิ่งเสพติด ซึ่งถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นจากเหล้าและบุหรี่ซึ่งมีอยู่แล้วเกลื่อนเมือง
2.ส่วนการส่งเสริมให้ปลูกกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้เนื่องด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
2.1 กัญชาเป็นพืชล้มลุกปลูกง่าย โตเร็ว และปลูกได้ทุกพื้นที่ซึ่งมีอากาศร้อนชื้น และน้ำไม่ท่วมขัง
ดังนั้น ถ้ามีการอนุญาตให้ปลูกได้เสรี เชื่อว่าจะมีปริมาณเกินกว่าความต้องการ และทำให้ราคาตกต่ำ ในทำนองเดียวกันกับพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น
ดังนั้น คงจะไม่ทำให้เกษตรกรขายได้ราคาดีเท่ากับที่ลักลอบขายกันอยู่ในขณะนี้แน่นอน
2.2 นอกจากจะขายไม่ได้ราคาแล้ว จะทำให้เกษตรกรไทยโดยเฉพาะวัยรุ่นกลายเป็นทาสกัญชาได้ง่าย เนื่องจากราคาถูก และแถมปลูกเองได้ด้วย
ถ้าเป็นเช่นนี้ จะทำให้คนไทยส่วนหนึ่งกลายเป็นทรัพยากรบุคคลที่ด้อยคุณภาพของประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจโดยรวม