ผู้จัดการรายวัน360- "ช่อ"ยอมรับโพสต์รูปวันรับปริญญาไม่เหมาะสม เสียใจที่ทำให้ "ครอบครัว-เพื่อน" เดือดร้อน ส่วนจะถือว่าพาดพิงเบื้องสูงหรือไม่ แล้วแต่การตีความของแต่ละคน ย้ำอย่าใช้สถาบันฯ มาโจมตีทำลายล้างกัน ทางการเมือง ส่วนรูปสวมหมวกเวียดนาม ถือตราสัญลักษณ์ แค่ถ่ายเล่นๆ
วานนี้ (19 มิ.ย.) ที่อาคารทีโอทีสำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมรัฐสภาชั่วคราว น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ให้สัมภาษณ์ชี้แจง กรณีการโพสต์ภาพรับปริญญาฉาว ว่า เป็นการโพสต์เฟซบุ๊ก สมัยที่เรียนจบใหม่ๆ ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์ทางการเมืองมีความเข้มข้น รุนแรง และมืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ช่วงหลายสิบปีที่ผ่าน ซึ่งยุคที่ตนเป็นนิสิต การเมืองมีความเข้มข้นเพราะมีการรัฐประหารปี 49 ในวันที่ตนเข้าเรียนปี 1 เพียงไม่กี่เดือน และจบในช่วงที่มีการชุมนุม และสังหารหมู่ประชาชน ปี 53 ซึ่งการที่เราเรียนคณะรัฐศาสตร์ ความสนใจทางการเมืองจึงเป็นไปอย่างเข้มข้น และเด็กคณะรัฐศาสตร์ หลายๆมหาวิทยาลัย ก็มีความตื่นตัวและสนใจทางการเมืองค่อนข้างสูง
ส่วนรูปที่โพสต์ มีการมองว่าส่อพาดพิงเบื้องสูงนั้น น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า จะพาดพิง หรือไม่พาดพิง คงแล้วแต่การตีความ สำหรับรูปที่เป็นปัญหา ตนยอมรับว่า เมื่อมองย้อนกลับไป ภาพมีความไม่เหมาะสมและอาจก่อให้เกิดความไม่สบายใจ เนื่องจากการตีความที่หลากหลายของแต่ละกลุ่มบุคคล ซึ่งเป็นสิทธิของแต่ละคน ที่จะตีความ ซึ่งตนต้องขออภัยอีกครั้ง ที่ภาพนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และตนก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ที่ภาพนี้ทำให้เกิดบทสนทนาที่ไม่สร้างสรรค์บนโซเชียลมีเดีย มีการใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง และนำไปสู่บทสนทนาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไหนเลย ในสภาวะที่สังคมไทยต้องการเดินไปข้างหน้า
เมื่อถามว่าเรื่องดังกล่าวอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง ดำเนินคดีอาญา น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า กระบวนการทางกฎหมายก็คงเป็นไปตามขั้นตอน แต่ขณะนี้ทางตนยังไม่ได้รับแจ้งจากตำรวจ จึงต้องรองความชัดเจนจากทางเจ้าหน้าที่ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ เพราะยังไม่ได้รับการแจ้งมา ทั้งนี้ตนพร้อมชี้แจง สำหรับการดำเนินการของฝ่ายกฎหมายพรรคอนาคตใหม่ นั้น เรายังไม่ได้มีการพูดคุยกัน เพราะต้องรอกระบวนการ เรื่องทางคดีความก่อน ว่าตำรวจจะรับแจ้งความหรือไม่ และรับโดยข้อหาอะไร เพราะจากที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อ ก็เป็นเพียงข่าว ซึ่งเรายังไม่ได้รับแจ้งจากทางตำรวจแต่อย่างใด
"พรรคอนาคตใหม่ ไม่ต้องการให้นำสถาบันฯ มาเป็นเครื่องมือโจมตี ทำลายล้างทางการเมือง ดิฉันไม่ใช่นักการเมืองคนแรก และนักการเมืองคนสุดท้ายที่โดนโจมตีในข้อหาแบบนี้ ซึ่งทุกคนได้เห็นอยู่แล้วว่าไม่ได้ส่งผลต่อดิฉันอย่างเดียว แต่ยังส่งผลถึงครอบครัว เพื่อน ซึ่งเราไม่ได้เตรียมใจที่จะได้รับแบบนี้ เราตัดสินใจทำงานทางการเมือง เรารู้ว่าจะเผชิญกับอะไร แต่พ่อ แม่ และเพื่อนของเรา ไม่สมควรต้องมารับผิดชอบต่อการตัดสินใจของเรา และเหตุการณ์นี้ ทำให้เรื่องบานปลายไปถึงพ่อ และเพื่อนของดิฉัน ซึ่งดิฉันไม่สบายใจ และเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า เวลาเรานำเรื่องแบบนี้มาโจมตีทางการเมือง ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งดิฉันเสียใจที่สุด"
ส่วนกรณีที่โพสต์ว่า พรีโฮห์จิมินห์ หมายถึงอะไร น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า นี่เป็นประวัติศาสตร์เวียดนาม มีความชัดเจนในตัวเอง ภาพที่ถ่ายเล่นๆนั้น สวมหมวกเวียดนาม ถือตราสัญลักษณ์ จึงโพสต์โยงไปถึงประวัติศาสตร์เวียดนาม ซึ่งต่างจากประวัติศาสตร์ไทย เส้นทางของคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม ประชาธิปไตยในไทย ไม่ได้ซ้อนทับกัน ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำบริบทตอนโพสต์ไม่ได้แล้ว เป็นการถ่ายกันเล่นๆ ในที่ทำงาน ซึ่งในสถานีโทรทัศน์จะมีการตั้งตราสัญลักษณ์อยู่แล้ว การที่โพสเฟซบุ๊กเป็นความรับผิดชอบอยู่แล้ว การโพสในสมัยที่อาจจะเข้มข้มหรือรุนแรงกว่านี้ แต่เมื่อการเวลาผ่านไปการเดินทางทางความคิดก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าย้อนกลับไปจะแก้ไขอะไรหรือไม่นั้น อดีตเป็นเรื่องของอดีต ปัจจุบันเป็นเรื่องปัจจุบัน การตัดสินในปัจจุบันเป็นสิ่งที่วิญญูชนทำกัน การเดินทางทางความคิดประวัติศาสตร์ไทย
"การเดินทางของนักศึกษาเดือนตุลาฯ เข้าป่ามีความสุดโต่ง เวลาผ่านไปอีกก็เรียนรู้ว่าไม่ใช่ แล้วก็กลับมา รัฐบาลในยุคนั้น ก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะไม่ได้กำจัดพื้นที่ความคิดแตกต่าง แต่ว่าให้พื้นที่คนเหล่านี้กลับมากลายเป็นภูมิปัญญาของประเทศชาติ ที่สำคัญสังคมจะอยู่อย่างสมานฉันท์ได้ ไม่ใช่การยึดความคิดทั้งหมดไว้ ไม่ให้ที่คนเห็นแต่าง แต่ต้องให้พื้นที่ทุกคน อย่างกรณีของดิฉันนั้น ไม่ถือว่า สุดโต่ง การตั้งคำถามถึงจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเมือง ซึ่งตอนนั้นนิสิตนักศึกษา ต่อต้านการรัฐประหารมาก แต่ถูกป้ายสีว่าไม่จงรักภักดี โดยไม่มีทางแก้ตัว จนสังคมตัดสินไปแล้ว ตอนนั้นจึงตั้งคำถามกับการใช้สถาบันฯ เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนของสังคมนี้คือ การใช้สถาบันฯ เป็นเครื่องมือทำลายกันทางการเมือง" น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
วานนี้ (19 มิ.ย.) ที่อาคารทีโอทีสำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมรัฐสภาชั่วคราว น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ให้สัมภาษณ์ชี้แจง กรณีการโพสต์ภาพรับปริญญาฉาว ว่า เป็นการโพสต์เฟซบุ๊ก สมัยที่เรียนจบใหม่ๆ ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์ทางการเมืองมีความเข้มข้น รุนแรง และมืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ช่วงหลายสิบปีที่ผ่าน ซึ่งยุคที่ตนเป็นนิสิต การเมืองมีความเข้มข้นเพราะมีการรัฐประหารปี 49 ในวันที่ตนเข้าเรียนปี 1 เพียงไม่กี่เดือน และจบในช่วงที่มีการชุมนุม และสังหารหมู่ประชาชน ปี 53 ซึ่งการที่เราเรียนคณะรัฐศาสตร์ ความสนใจทางการเมืองจึงเป็นไปอย่างเข้มข้น และเด็กคณะรัฐศาสตร์ หลายๆมหาวิทยาลัย ก็มีความตื่นตัวและสนใจทางการเมืองค่อนข้างสูง
ส่วนรูปที่โพสต์ มีการมองว่าส่อพาดพิงเบื้องสูงนั้น น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า จะพาดพิง หรือไม่พาดพิง คงแล้วแต่การตีความ สำหรับรูปที่เป็นปัญหา ตนยอมรับว่า เมื่อมองย้อนกลับไป ภาพมีความไม่เหมาะสมและอาจก่อให้เกิดความไม่สบายใจ เนื่องจากการตีความที่หลากหลายของแต่ละกลุ่มบุคคล ซึ่งเป็นสิทธิของแต่ละคน ที่จะตีความ ซึ่งตนต้องขออภัยอีกครั้ง ที่ภาพนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และตนก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ที่ภาพนี้ทำให้เกิดบทสนทนาที่ไม่สร้างสรรค์บนโซเชียลมีเดีย มีการใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง และนำไปสู่บทสนทนาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไหนเลย ในสภาวะที่สังคมไทยต้องการเดินไปข้างหน้า
เมื่อถามว่าเรื่องดังกล่าวอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง ดำเนินคดีอาญา น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า กระบวนการทางกฎหมายก็คงเป็นไปตามขั้นตอน แต่ขณะนี้ทางตนยังไม่ได้รับแจ้งจากตำรวจ จึงต้องรองความชัดเจนจากทางเจ้าหน้าที่ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ เพราะยังไม่ได้รับการแจ้งมา ทั้งนี้ตนพร้อมชี้แจง สำหรับการดำเนินการของฝ่ายกฎหมายพรรคอนาคตใหม่ นั้น เรายังไม่ได้มีการพูดคุยกัน เพราะต้องรอกระบวนการ เรื่องทางคดีความก่อน ว่าตำรวจจะรับแจ้งความหรือไม่ และรับโดยข้อหาอะไร เพราะจากที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อ ก็เป็นเพียงข่าว ซึ่งเรายังไม่ได้รับแจ้งจากทางตำรวจแต่อย่างใด
"พรรคอนาคตใหม่ ไม่ต้องการให้นำสถาบันฯ มาเป็นเครื่องมือโจมตี ทำลายล้างทางการเมือง ดิฉันไม่ใช่นักการเมืองคนแรก และนักการเมืองคนสุดท้ายที่โดนโจมตีในข้อหาแบบนี้ ซึ่งทุกคนได้เห็นอยู่แล้วว่าไม่ได้ส่งผลต่อดิฉันอย่างเดียว แต่ยังส่งผลถึงครอบครัว เพื่อน ซึ่งเราไม่ได้เตรียมใจที่จะได้รับแบบนี้ เราตัดสินใจทำงานทางการเมือง เรารู้ว่าจะเผชิญกับอะไร แต่พ่อ แม่ และเพื่อนของเรา ไม่สมควรต้องมารับผิดชอบต่อการตัดสินใจของเรา และเหตุการณ์นี้ ทำให้เรื่องบานปลายไปถึงพ่อ และเพื่อนของดิฉัน ซึ่งดิฉันไม่สบายใจ และเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า เวลาเรานำเรื่องแบบนี้มาโจมตีทางการเมือง ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งดิฉันเสียใจที่สุด"
ส่วนกรณีที่โพสต์ว่า พรีโฮห์จิมินห์ หมายถึงอะไร น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า นี่เป็นประวัติศาสตร์เวียดนาม มีความชัดเจนในตัวเอง ภาพที่ถ่ายเล่นๆนั้น สวมหมวกเวียดนาม ถือตราสัญลักษณ์ จึงโพสต์โยงไปถึงประวัติศาสตร์เวียดนาม ซึ่งต่างจากประวัติศาสตร์ไทย เส้นทางของคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม ประชาธิปไตยในไทย ไม่ได้ซ้อนทับกัน ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำบริบทตอนโพสต์ไม่ได้แล้ว เป็นการถ่ายกันเล่นๆ ในที่ทำงาน ซึ่งในสถานีโทรทัศน์จะมีการตั้งตราสัญลักษณ์อยู่แล้ว การที่โพสเฟซบุ๊กเป็นความรับผิดชอบอยู่แล้ว การโพสในสมัยที่อาจจะเข้มข้มหรือรุนแรงกว่านี้ แต่เมื่อการเวลาผ่านไปการเดินทางทางความคิดก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าย้อนกลับไปจะแก้ไขอะไรหรือไม่นั้น อดีตเป็นเรื่องของอดีต ปัจจุบันเป็นเรื่องปัจจุบัน การตัดสินในปัจจุบันเป็นสิ่งที่วิญญูชนทำกัน การเดินทางทางความคิดประวัติศาสตร์ไทย
"การเดินทางของนักศึกษาเดือนตุลาฯ เข้าป่ามีความสุดโต่ง เวลาผ่านไปอีกก็เรียนรู้ว่าไม่ใช่ แล้วก็กลับมา รัฐบาลในยุคนั้น ก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะไม่ได้กำจัดพื้นที่ความคิดแตกต่าง แต่ว่าให้พื้นที่คนเหล่านี้กลับมากลายเป็นภูมิปัญญาของประเทศชาติ ที่สำคัญสังคมจะอยู่อย่างสมานฉันท์ได้ ไม่ใช่การยึดความคิดทั้งหมดไว้ ไม่ให้ที่คนเห็นแต่าง แต่ต้องให้พื้นที่ทุกคน อย่างกรณีของดิฉันนั้น ไม่ถือว่า สุดโต่ง การตั้งคำถามถึงจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเมือง ซึ่งตอนนั้นนิสิตนักศึกษา ต่อต้านการรัฐประหารมาก แต่ถูกป้ายสีว่าไม่จงรักภักดี โดยไม่มีทางแก้ตัว จนสังคมตัดสินไปแล้ว ตอนนั้นจึงตั้งคำถามกับการใช้สถาบันฯ เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนของสังคมนี้คือ การใช้สถาบันฯ เป็นเครื่องมือทำลายกันทางการเมือง" น.ส.พรรณิการ์ กล่าว