xs
xsm
sm
md
lg

ดัน “ธนาธร” นำ “ระบอบแม้ว” เต็มตัว “เจ๊ ด.” ผุด “พรรควิสัยทัศน์ใหม่” สาขารอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ป้อมพระสุเมรุ

“เราไม่ได้แพ้ แต่ถูกปล้นชัยชนะไป”

คือคำที่ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ทิ้งไว้ภายหลังจากที่พ่ายแพ้ ต่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ในการลงมติเลือกนายกฯเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา

แม้จะโอดครวญกับกติกาที่ไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง แต่ “ระหว่างบรรทัด” นั้น “เสี่ยเอก” ยืดอกยอมรับว่า การทำงานเรียกร้องให้ “ฝ่ายการเมือง” ร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจยังไม่เข้มข้นเพียงพอ จนไม่สามารถโน้มน้าวในพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ให้เข้าร่วมแคมเปญ “ปิดสวิตซ์ ส.ว.” ได้

การประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ของ “ธนาธร” จึงมีเสียงแซ่ซ้องว่า “แพ้อย่างมีสไตล์”

ต้องยอมรับว่า การแสดงภาวะผู้นำของ “ธนาธร” นั้น ฉาบเคลือบ “ความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ” ของ พรรคเพื่อไทย เอาไว้

เพราะท่าทีการต่อสู้จนนาทีสุดท้ายของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผิดกับ พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคที่มีเสียง ส.ส.มากที่สุด เป็นอันดับ 1 ยอมสละ “การนำ” และหันไปสนับสนุนหัวหน้าพรรคการเมืองลำดับ 3 ให้เป็นตัวแทนชิงเก้าอี้นายกฯ

เพราะแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยถูกเสนอไว้ถึง 3 คนเต็มอัตราที่กฎหมายกำหนด คือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ - ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ - ชัยเกษม นิติสิริ

แม้ “ธนาธร” จะมีความโดดเด่นที่สุดเมื่อเปรียบกับทุดรายชื่อที่ว่าไป แต่ไม่น่าจะมีเหตุผลที่พรรคอันดับ 1 ต้องยอมหลบให้กับพรรคอันดับ 3 แต่อย่างใด

เป็นพรรคอันดับ 1 ที่ชิงจังหวะประกาศร่วมลงสัตยาบันกับอีก 6 พรรคพันธมิตรในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลภายหลังวันเลือกตั้ง 24 มี.ค. ไม่กี่วัน

เป็นพรรคอันดับ 1 ที่เย้ยหยันถากถาง พรรคอันดับ 2 อย่าง พรรคพลังประชารัฐ มาตลอดว่า เสียมารยาทที่ประกาศจัดตั้งรัฐบาลแข่ง

แต่ที่สุดกลับงดเสนอชื่อคนของพรรค แล้วประกาศสนับสนุนคนนอกพรรค จนถูกเย้ยกลับว่า เลือก “เพื่อไทย” แต่ได้ “ธนาธร”

ไม่ใช่แค่สายตาคนนอกพรรคเท่านั้น คนในพรรคเองก็ “ไม่ปลื้ม” กับแนวทางของพรรค อย่างรายของ “เสี่ยโจ้” ยุทธพงษ์ จรัสเสถียร อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ ส.ส.มหาสารคาม ที่โวยวายลั่นที่ประชุมพรรคว่า พรรคต้องยืนหยัดสนับสนุน “คุณหญิงสุดารัตน์” ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของพรรค ที่ถือธงนำพรรคมาตลอดฤดูกาลหาเสียง เพราะถือเป็นสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชน จนนำมาซึ่งชัยชนะในการเลือกตั้ง หากพรรคเห็นเป็นอื่น แล้วสนับสนุนคนนอกพรรค เกรงว่า ส.ส.โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน อาจจะกลับพื้นที่ไปตอบคำถามประชาชนไม่ได้

ที่สุดไร้การตอบรับจาก “ผู้ใหญ่ของพรรค” ก่อนที่ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย จะให้เหตุผลว่า ด้วยกติกาที่ผิดเพี้ยน พรรคเพื่อไทยจึงงดเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ และร่วมสนับสนุน “ธนาธร” แทน

ตีความง่ายๆ เลือกที่จะไม่ส่งตัวแทนลงแข่งในสนามที่รู้ตัวว่าแพ้แน่ๆ

จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้น คำถามถึง “สปิริต” ในฐานะหัวหอกของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ที่ตัวเองเคลมมาตลอดทันที

เพราะตัว “ธนาธร” เองก็อ่านเกมออกเช่นกันว่า คงไม่ทางเอาชนะ “ประยุทธ์” ในการลงมติร่วมกันของที่ประชุมรัฐสภา ที่มี “พรรค ส.ว.” ร่วมอยู่ด้วยถึง 250 เสียง หรือเมื่อตัด 250 เสียง ส.ว.ออกไป เฉพาะ “สภาล่าง” สภาผู้แทนราษฎรเอง ก็พ่ายไปด้วยคะแนน 244 เสียง ต่อ 251 เสียง ที่สนับสนุน “ประยุทธ์”

เอาเข้าจริง พรรคเพื่อไทย ไม่ได้เพิ่งมา “ยกธงขาว” ในช่วงก่อนนักประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกฯ แต่ “ยกธงขาว” ก่อนหน้านั้นมาร่วมเดือนแล้ว จนบางช่วงไร้ความเคลื่อนไหวจากทางพรรค ที่ประกาศจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

จนทำให้ภายหลัง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ “ธนาธร” ต้องออกมาประกาศขอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน และประกาศว่าพร้อมเป็นนายกฯด้วยตัวเอง

ข้ามหัวพรรคเพื่อไทย แบบไม่กลัวเสียมารยาท

ถือว่าสะท้อนภาพได้ดีว่า พรรคเพื่อไทย ไม่คิดที่จะสู้ ผิดกับ “ธนาธร” ที่รู้ว่าแพ้แต่ก็สู้เต็มที่

การตัดสินใจ และการแสดงออกของ “ผู้ใหญ่” ในพรรคเพื่อไทย ยิ่งขับภาพความโดดเด่นของ “ธนาธร” ให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความฟอนเฟะภายในพรรคเพื่อไทยว่า ไร้เอกภาพ ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ภายใต้การนำของ “คุณหญิงสุดารัตน์” ที่ได้รับตราตั้งเป็นผู้นำทัพ

ขณะที่ “บิ๊กเนม” ของพรรคเพื่อไทย รวมถึง “คุณหญิงหน่อย” เองต่างก็ไม่มีโอกาสเข้าไปทำหน้าที่ในสภา ก็เลือกที่จะเฟดตัวไปอยู่เบื้องหลัง

ผิดกับ “ธนาธร” ที่วันนี้ถูกศาลรัฐธรรมนูยสั่งแขวนการทำหน้าที่ ส.ส. ก็ออกตัวล่วงหน้าว่า หากไม่มีโอกาสทำงานในสภาฯ ก็ยังพร้อมที่จะขับเคลื่อนแนวทางของพรรคอนาคตใหม่อยู่นอกสภา

ถึงพรรคเพื่อไทยกำลังจะมีการปรับเปลี่ยนระดับบริหารในพรรค ดัน สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.มากประสบการณ์ จาก จ.เชียงใหม่ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ก็ตาม

แต่ความโดดเด่นของ “สมพงษ์” ก็ยิ่งห่างไกลจาก “ธนาธร” หลายขุม

จนดูเหมือนสถานการณ์ส่งให้นักการเมืองหน้าใหม่ อายุงานแค่ปีเศษ อย่าง “ธนาธร” ออกมารับบท ผู้นำฝ่ายต้านการสืบทอดอำนาจเต็มตัว ไม่ว่าจะในสภาฯ หรือนอกสภาฯ

ยิ่งคอนเนคชันส่วนตัวของ “ธนาธร” ที่เชื่อมถึง “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ด้วยแล้ว จึงไม่ห่างไกลความจริงเท่าไร ที่อาจมีการผลักดัน “ธนาธร” ขึ้นเป็น “แม่ทัพระบอบแม้ว” คนใหม่ ด้วยก่อนหน้านี้ “ทีวีนายใหญ่” เอง ก็ส่ง “ทีมงานโซเชียล” ชุดใหญ่มาช่วยงานพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

ไม่เท่านั้นความง่อนแง่นในพรรคเพื่อไทยเอง ก็ทำให้ “เจ๊ ด.” คนดังคนเดิม เริ่มกลับมาคิดการใหญ่อีกครั้ง สบช่องที่จะยึดอำนาจกลับจาก “เจ๊หน่อย” ที่เคยเสียท่าให้เมื่อครั้ง “นายใหญ่ - นายหญิง” ยก “สาขาหลัก” ให้ “เจ้าแม่นครบาล” บริหาร

จน “เจ๊ ด.” น้องในไส้ ต้องซมซานไปเปิด “สาขาใหม่” และไปแจมที่ “สาขารอง”

ทว่า “สาขาใหม่” กลับถูกประกาศิตให้บอนไซตัวเอง จนทำให้ส่งผู้สมัครได้ไม่เต็มเต็มหน่วย “บิ๊กเนม” ที่กวาดต้อนไปก็ต้องโผกลับมาอยู่ “สาขาหลัก” เป็นแถว หรือ “สาขารอง” ก็ถูกประกาศิตสายฟ้าฟาด อดมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งที่ผ่านมา

พลันที่ “เจ้าแม่นครบาล” พลาดพลั้ง ก็เลยมีข่าวการเปิด “อีกสาขา” อันจะเป็นศูนย์รวมของ “คนอกหัก” จากทั้ง “สาขาใหม่” และ “สาขารอง” ในชื่อใหม่ “พรรควิสัยทัศน์ใหม่” ที่เริ่มมีการแต่งตัวรอการเลือกตั้งหนใหม่ ภายใต้การขับเคลื่อนของ “เจ๊ ด.” ที่ว่ากันว่าเปิดเซฟรอทุ่มระดับ “หมื่นล้าน” กันเลยทีเดียว

นอกจากวาระส่วนตัวในการชิงอำนาจการนำจาก “เจ๊ กทม.” กลับคืนมาแล้ว เหนือกว่านั้นคือการสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองเพื่อคุ้มกะลาหัวตัวเอง ด้วยเวลานี้คดี “จีทูเจ๊” ในชั้น ป.ป.ช.กำลังรุดหน้าไปไกล หากดีลที่ทำไว้ “บิ๊กทอปบูต” หมดอายุ กลายเป็น “นักโทษหนีคดี” เหมือนพี่ชาย-น้องสาว โอกาสกลับมาเดินหน้าบานแฉ่งที่เมืองไทย ก็คงหมดไป

เป็นที่มาของพรรคการเมืองน้องใหม่ ที่จะใช้ชื่อ “วิสัยทัศน์ใหม่”

ชื่ออาจฟังเชยๆ ไปสัดนิด เพราะตั้งใจล้อมาจาก “อนาคตใหม่” ที่กำลังจะกลายเป็นสาขาหลักของ “ระบอบแม้ว” ในอนาคตอันใกล้นี้นั่นเอง.


กำลังโหลดความคิดเห็น