**ก็ต้องถือว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมาได้เกิดเรื่องราวหลายๆ เรื่องขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่ได้เหนือความคาดหมาย หรือบางเรื่องก็เป็น"แค่การแสดง" ที่มีการเตรียมการ "เขียนบท" เอาไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่าสำหรับบรรยากาศเก่าๆได้หวนกลับมาอีกครั้ง นั่นคือ บรรยากาศในสภาฯ ส่วนใครจะชอบ หรือเบื่อหน่ายน่ารำคาญก็อีกเรื่องหนึ่ง
เริ่มจากการที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศลาออกจากส.ส. โดยอ้างว่าไม่อยากเสียคำพูดและหลักการ หลังจากพรรคมีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และสนับสนุน "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดา "นิวเดม" พวก "เด็กๆ" อีกจำนวนหนึ่ง ที่ประกาศ"ไขก๊อก" ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกัน และถือว่าน่าจะจบลง โดยจะมี "สุทัศน์ เงินหมื่น" ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ จะเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แทนที่ อภิสิทธิ์
สำหรับวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แม้ว่ากำหนดเอาไว้ในเบื้องต้น ในวันที่ 5 มิถุนายน แต่เมื่อพิจารณาตามเหตุการณ์ น่าจะยืดเยื้อ เพราะไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่าจะต้องโหวตเลือกกันในวันเดียวกัน แต่ถึงอย่างไร เชื่อเถอะเมื่ออภิปรายไปพักใหญ่ มันก็จะเบื่อ ทั้งฝ่ายหนุน ฝ่ายต้าน เพราะจะไม่มีอะไรใหม่ มีแต่เรื่องซ้ำๆ จนเลี่ยน
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากการคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแบบที่ไม่ต้องมีลุ้นอะไรกันบ้างก็ต้องสรุปว่า "ลุงตู่" หรือ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เนื่องจากมีเสียงจากส.ว.เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนจะได้กี่เสียง เมื่อรวมกับส.ส.จากหลายพรรค ที่ประกาศสนับสนุนก่อนหน้านี้
แต่ที่น่าสนใจก็คือ บทบาท และการเคลื่อนไหวนอกสภาของ "ธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ล่าสุดเป็น "คู่ชิง" เก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากได้รับเสียงสนับสนุนจาก 7 พรรคพันธมิตรก่อนหน้านี้
**ที่น่าสนใจก็คือ หากพิจารณาจาก "สถานะ" ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในเวลานี้ควบคู่กันไปด้วยก็อาจเห็น "ภาพบางอย่าง" ได้ชัดเจนขึ้น นั่นคือ เขากำลังถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว จากถูกร้องเรื่อง"คุณสมบ้ติต้องห้าม" จากกรณีการถือหุ้นสื่อมวลชน และศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เขาต้องชี้แจงหลักฐานภายใน 15 วัน ซึ่งจากวันนั้น วันนี้ก็คงเหลือเวลาอีกเพียงวันสองวันเท่านั้นก็จะครบกำหนด ว่าจะ "จบเกม" หรือจะได้ "ไปต่อ" หรือไม่ รวมไปถึงความเสี่ยงจาก "แรงสั่นสะเทือน" ที่จะตามมาใหญ่หลวง หากมีผลออกมา"เป็นลบ"
แม้ว่าหากโฟกัสความเคลื่อนไหวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่เมื่อวานนี้ จะเป็นไปตามสิทธิ์ โดยอ้างอิงรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมในรัฐสภาก็ตาม แต่หากพิจารณากันอีกแง่มุมหนึ่ง มันก็อดคิดไม่ได้ว่านี่คือ "การแสดง" หรือ "ละคร" เพื่อหวังผลทางการเมืองบางอย่างตามมา
หากมองกันอย่างเชื่อมโยงกันตั้งแต่เมื่อครั้งที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ กรณีปมถือหุ้นสื่อ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เขาก็ประกาศว่า "ถูกกลั่นแกล้ง" เป็น "แผนสกัดเส้นทางการเมือง" ของเขา พร้อมกันนั้นเขาได้ประกาศเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดต อันดับหนึ่งจากพรรคเพื่อไทยไฟเขียว
และแน่นอนว่า หากพิจารณากันตามลำดับเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญให้เวลาชี้แจงภายใน 15 วัน ก็ยิ่งเหลือเวลาอีกเพียงวันสองวันเท่านั้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เป็นการ "ลุ้นอนาคตทางการเมือง" ครั้งใหญ่ และยังรวมไปถึงเสี่ยงต่อ "คุกตะราง" เสี่ยงต่อการ "ถูกยุบพรรคอนาคตใหม่" ตามมาอีกด้วยก็ได้
งานนี้ถือว่า "มีเดิมพันสูง" จึงต้องแสดงออกมาในแบบทั้งดิ้นรน และดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามให้เต็มที่ เหมือนกับกรณีการแสดงวิสัยทัศน์ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นอกห้องประชุมสภา หลังจากมีสมาชิกพรรคถอนญัตติดังกล่าวออกมา โดยอ้างว่า หากต้องมีการขานชื่อสมาชิกรัฐสภาในการลงมติ ให้แสดงวิสัยทัศน์หรือไม่ นั่นจะเป็นการเสียเวลาของที่ประชุม หากมองผิวเผินอาจดูเหมือนว่า ไม่ต้องการรบกวนเวลาสภา แต่อย่างที่รู้กันว่าหากลงมติ ก็จะแพ้ขาดอยู่แล้ว จึงต้องออกมาแสดงวิสัยทัศน์ข้างนอกห้องประชุม ซึ่งทุกอย่างมันก็ไม่ต่างจากการแสดงที่ "เขียนบท" เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากบทที่เขาเอามาอ่าน ที่บอกว่านี่คือ "วิสัยทัศน์ของนายกฯในความเป็นจริง" นั้น ไม่ว่าพิจารณา ฟัง ทบทวนกี่ตลบ มันก็ถือว่า"พื้นๆ" กว้างๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษแต่อย่างใด
ดังนั้น หากพิจารณาการเคลื่อนไหวจากเรื่องราวที่ผ่านมาโฟกัสไปที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนี้ มันถึงได้บอกว่า ไม่ต่างกับการแสดงที่หวังผลทางการเมืองที่จะตามมา หากผลการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในทางลบ ซึ่งหากนับจากนาทีนี้ถือว่า "นับถอยหลัง" เข้ามาทุกทีแล้ว !!
เริ่มจากการที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศลาออกจากส.ส. โดยอ้างว่าไม่อยากเสียคำพูดและหลักการ หลังจากพรรคมีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และสนับสนุน "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดา "นิวเดม" พวก "เด็กๆ" อีกจำนวนหนึ่ง ที่ประกาศ"ไขก๊อก" ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกัน และถือว่าน่าจะจบลง โดยจะมี "สุทัศน์ เงินหมื่น" ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ จะเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แทนที่ อภิสิทธิ์
สำหรับวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แม้ว่ากำหนดเอาไว้ในเบื้องต้น ในวันที่ 5 มิถุนายน แต่เมื่อพิจารณาตามเหตุการณ์ น่าจะยืดเยื้อ เพราะไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่าจะต้องโหวตเลือกกันในวันเดียวกัน แต่ถึงอย่างไร เชื่อเถอะเมื่ออภิปรายไปพักใหญ่ มันก็จะเบื่อ ทั้งฝ่ายหนุน ฝ่ายต้าน เพราะจะไม่มีอะไรใหม่ มีแต่เรื่องซ้ำๆ จนเลี่ยน
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากการคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแบบที่ไม่ต้องมีลุ้นอะไรกันบ้างก็ต้องสรุปว่า "ลุงตู่" หรือ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เนื่องจากมีเสียงจากส.ว.เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนจะได้กี่เสียง เมื่อรวมกับส.ส.จากหลายพรรค ที่ประกาศสนับสนุนก่อนหน้านี้
แต่ที่น่าสนใจก็คือ บทบาท และการเคลื่อนไหวนอกสภาของ "ธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ล่าสุดเป็น "คู่ชิง" เก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากได้รับเสียงสนับสนุนจาก 7 พรรคพันธมิตรก่อนหน้านี้
**ที่น่าสนใจก็คือ หากพิจารณาจาก "สถานะ" ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในเวลานี้ควบคู่กันไปด้วยก็อาจเห็น "ภาพบางอย่าง" ได้ชัดเจนขึ้น นั่นคือ เขากำลังถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว จากถูกร้องเรื่อง"คุณสมบ้ติต้องห้าม" จากกรณีการถือหุ้นสื่อมวลชน และศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เขาต้องชี้แจงหลักฐานภายใน 15 วัน ซึ่งจากวันนั้น วันนี้ก็คงเหลือเวลาอีกเพียงวันสองวันเท่านั้นก็จะครบกำหนด ว่าจะ "จบเกม" หรือจะได้ "ไปต่อ" หรือไม่ รวมไปถึงความเสี่ยงจาก "แรงสั่นสะเทือน" ที่จะตามมาใหญ่หลวง หากมีผลออกมา"เป็นลบ"
แม้ว่าหากโฟกัสความเคลื่อนไหวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่เมื่อวานนี้ จะเป็นไปตามสิทธิ์ โดยอ้างอิงรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมในรัฐสภาก็ตาม แต่หากพิจารณากันอีกแง่มุมหนึ่ง มันก็อดคิดไม่ได้ว่านี่คือ "การแสดง" หรือ "ละคร" เพื่อหวังผลทางการเมืองบางอย่างตามมา
หากมองกันอย่างเชื่อมโยงกันตั้งแต่เมื่อครั้งที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ กรณีปมถือหุ้นสื่อ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เขาก็ประกาศว่า "ถูกกลั่นแกล้ง" เป็น "แผนสกัดเส้นทางการเมือง" ของเขา พร้อมกันนั้นเขาได้ประกาศเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดต อันดับหนึ่งจากพรรคเพื่อไทยไฟเขียว
และแน่นอนว่า หากพิจารณากันตามลำดับเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญให้เวลาชี้แจงภายใน 15 วัน ก็ยิ่งเหลือเวลาอีกเพียงวันสองวันเท่านั้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เป็นการ "ลุ้นอนาคตทางการเมือง" ครั้งใหญ่ และยังรวมไปถึงเสี่ยงต่อ "คุกตะราง" เสี่ยงต่อการ "ถูกยุบพรรคอนาคตใหม่" ตามมาอีกด้วยก็ได้
งานนี้ถือว่า "มีเดิมพันสูง" จึงต้องแสดงออกมาในแบบทั้งดิ้นรน และดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามให้เต็มที่ เหมือนกับกรณีการแสดงวิสัยทัศน์ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นอกห้องประชุมสภา หลังจากมีสมาชิกพรรคถอนญัตติดังกล่าวออกมา โดยอ้างว่า หากต้องมีการขานชื่อสมาชิกรัฐสภาในการลงมติ ให้แสดงวิสัยทัศน์หรือไม่ นั่นจะเป็นการเสียเวลาของที่ประชุม หากมองผิวเผินอาจดูเหมือนว่า ไม่ต้องการรบกวนเวลาสภา แต่อย่างที่รู้กันว่าหากลงมติ ก็จะแพ้ขาดอยู่แล้ว จึงต้องออกมาแสดงวิสัยทัศน์ข้างนอกห้องประชุม ซึ่งทุกอย่างมันก็ไม่ต่างจากการแสดงที่ "เขียนบท" เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากบทที่เขาเอามาอ่าน ที่บอกว่านี่คือ "วิสัยทัศน์ของนายกฯในความเป็นจริง" นั้น ไม่ว่าพิจารณา ฟัง ทบทวนกี่ตลบ มันก็ถือว่า"พื้นๆ" กว้างๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษแต่อย่างใด
ดังนั้น หากพิจารณาการเคลื่อนไหวจากเรื่องราวที่ผ่านมาโฟกัสไปที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนี้ มันถึงได้บอกว่า ไม่ต่างกับการแสดงที่หวังผลทางการเมืองที่จะตามมา หากผลการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในทางลบ ซึ่งหากนับจากนาทีนี้ถือว่า "นับถอยหลัง" เข้ามาทุกทีแล้ว !!