ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเลยไปแถวๆ ละตินอเมริกา แวะไปดูอะไรต่อมิอะไรในเวเนซุเอลากันอีกสักหน่อย เพราะนอกจากช่วงสัปดาห์หน้า ที่ตัวแทนของ “นายมาดูโร” ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง กับตัวแทนของ “นายฮวน กุยโด” ประธานาธิบดีที่มาจากการแต่งตั้งตัวเอง จะได้เริ่มต้นเจรจา จับเข่า จับหัวเหน่า พูดคุยกันตามประสาชาวเวเนซุเอลาด้วยกันเอง ที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์แล้ว ยังเห็นข่าวแวบๆ เมื่อวันวาน จากเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของเรานี่แหละ ว่าด้วยเรื่องการเถียงกันไป-เถียงกันมาระหว่าง “ธนาคารกลางเวเนซุเอลา” กับ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” หรือ “ไอเอ็มเอฟ” ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว “อัตราเงินเฟ้อ” ในเวเนซุเอลา มันเฟ้อกันไปถึงระดับไหนกันแน่ ระหว่าง 130,000 เปอร์เซ็นต์ ตามตัวเลขของธนาคารกลางเวเนซุเอลา หรือทะลุไปถึงขั้น 10 ล้านเปอร์เซ็นต์ ตามการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ...
แต่ที่จะชวนกันตามไปดูในที่นี้...คงไม่ได้คิดไปดูว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเวเนซุเอลามันขึ้นไปสักกี่แสนกี่ล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ว่าจะ 130,000 เปอร์เซ็นต์ หรือ 10 ล้านเปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ บรรดาชาวเวเนซุเอลาทั้งหลาย...ย่อมมีแต่ “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อมันพุ่งไปถึงระดับแสนๆ ล้านๆ เปอร์เซ็นต์เช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้นไปจาก “การแซงชั่น” ของคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ ถือเป็นตัวการสำคัญที่สุดในการทำให้ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งสำรองน้ำมันอันดับหนึ่งของโลก มีบ่อทอง บ่อเงิน มีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์อยู่ภายในประเทศอีกเยอะแยะมากมาย แถมยังมีสาวๆ สวยๆ ระดับสามารถคว้ามงกุฎนางงามจักรวาลมาครองไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กลับต้องตกอยู่ในสภาพ “มีแต่ตาย...กับ...ตาย” กันไปแทบทั้งประเทศ...
ด้วยเหตุเพราะการส่งออก “น้ำมัน” ไปขายยังตลาดโลกที่ถือเป็นตัวทำรายได้จำนวนถึง 96 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ...มันถูกคุณพ่ออเมริกากีดกัน เล่นงาน ซะชนิดอยู่หมัด แม้ว่าราคาน้ำมันที่เคยตกต่ำในช่วงเมื่อสี่ซ้าห้าปีที่แล้ว อันเป็นตัวจุดชนวนภาวะเงินเฟ้อให้แพร่กระจายไปทั่วทั้งประเทศ จะมีราคาสูงขึ้นๆ หรือเพิ่มขึ้นมาบ้างในทุกวันนี้ แต่เมื่อไม่รู้จะส่งไปขายให้กับประเทศไหน เพราะถูกคุณพ่ออเมริกาตามไปเล่นงานกันเป็นประเทศๆ ตัวเลขการผลิตน้ำมันที่เคยผลิตได้ไม่น้อยกว่าวันละ 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต้องลดลงแบบฮวบๆ ฮาบๆ เหลือแค่ประมาณ 1.03 ล้านบาร์เรลต่อวัน ยิ่งเมื่อเจอกับ “การแซงชั่นรอบใหม่” ที่กะจะเอาให้ตายให้จงได้ ตัวเลขการผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาที่ลดลงมาเหลือแค่ 431,000 บาร์เรลต่อวัน ยังต้องลดไปอีกถึง 36.4 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น...ไม่ว่าราคาน้ำมันจะพุ่งไปถึงระดับใด ชาวเวเนซุเอลาก็ยังคงต้อง “ตาย...กับ...ตาย” อยู่เช่นเดิมนั่นเอง...
หรืออย่างที่ทูตเวเนซุเอลาประจำกรุงมอสโก “นายราฟาเอล ฟาเรีย ทอร์โทซา” (Rafael FariaTortosa) เพิ่งออกมาบอกเล่าเก้าสิบกับบรรดาผู้สื่อข่าว เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้วว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015-2018 หรือนับตั้งแต่คุณพ่ออเมริกากะจะเอาให้ตายให้จงได้ ความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับเวเนซุเอลาเมื่อคิดเป็นตัวเงิน ตัวทองแล้ว น่าจะไม่ต่ำไปกว่า 130,000 ล้านดอลลาร์ หรือไม่รู้จะกี่ล้านล้านบาท ชนิดที่ปริมาณเงินระดับนี้ ประเทศเวเนซุเอลาสามารถนำไปใช้ดูแลประเทศได้ถึง 9 ปีเป็นอย่างน้อย โดยไม่ใช่แต่เฉพาะผู้บริหารจัดการประเทศ หรือรัฐบาลของ “นายมาดูโร” ที่คุณพ่ออเมริกาไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่านั้นที่ต้องเดือดร้อน แต่เป็นประชาชนพลเรือนผู้บริสุทธิ์ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทั้งหลายนั่นเอง ที่ต้อง “ตาย...กับ...ตาย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...
และดูเหมือนว่าคุณพ่ออเมริกาท่านไม่คิดจะสนใจไยดีต่อชะตากรรมของประชาชนผู้บริสุทธิ์เอาเลยแม้แต่น้อย...แม้ว่าจะมีรายงานการศึกษาและวิจัยอย่างเป็นระบบ จากหน่วยงานของชาวอเมริกันเอง คือจากองค์กร “Center for Economic and Policy Research” ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอเมริกา โดย “นายMark Weisbrot” ที่ร่วมมือกับ “นายJeffrey Sachs” ผู้อำนวยการองค์กร “UN Sustainable Development Solution Network” ซึ่งเคยเป็นถึงอดีตที่ปรึกษาเลขาธิการสหประชาชาติ และเป็นผู้ที่นิตยสารไทม์ แมกกาซีน เคยจัดให้ติดอันดับ 1 ใน 100 ของผู้มีอิทธิพลต่อโลก ร่วมกันค้นคว้าและวิจัยถึงมาตรการแซงชั่นของสหรัฐฯ ต่อประเทศเวเนซุเอลา และเห็นพ้องต้องกันว่า...มาตรการดังกล่าวนอกจากผิดกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ยังผิดศีลธรรม ผิดจริยธรรม อันเป็นสิ่งที่เพื่อนมนุษย์พึงมีต่อกันและกันซะอีกด้วย ด้วยเหตุเพราะมันส่งผลต่อบรรดาประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นั่นแหละเป็นด้านหลัก ไม่ใช่ต่อเฉพาะรัฐบาลที่อเมริกาไม่ค่อยชอบขี้หน้า หรือทำให้ชาวเวเนซุเอลาจำนวนไม่น้อยกว่า 40,000 คน ต้องล้มตายไปในช่วงระยะ 2 ปีของการแซงชั่นแบบดุเดือดเลือดพล่าน เพราะขาดอาหาร ขาดยารักษาโรคในแต่ละประเภท...
ผู้ป่วยด้วยโรค “HIV” จำนวนไม่ต่ำกว่า 80,000 คนในเวเนซุเอลา ยังไม่ได้รับการบำบัดนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2017 เป็นต้นมา ผู้ป่วยอีกถึง 4,000,000 คน ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไม่สามารถหาซื้ออินซูลิน หรือยาลดความดัน ที่ต้องอาศัยเงินตราต่างประเทศไปแลกเปลี่ยน ส่วนที่น่าหดหู่ น่าเวทนาเอามากๆ ซึ่งสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” เขาได้ไปทำสกู๊ปเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้ ก็คือกรณีของเด็กหญิง “Isabella” ที่มีอายุเพียงแค่ 21 เดือนเท่านั้นเอง ซึ่งป่วยเป็นโรคตับมาตั้งแต่กำเนิดโดยได้รับการช่วยเหลือดูแล รักษา จากมูลนิธิ “Simon Bolivar” ส่งไปปลูกถ่ายตับในโรงพยาบาลที่ประเทศอาร์เจนตินา แต่เผอิญว่ามูลนิธิที่ว่านี้ ดันเป็นมูลนิธิที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัท Citgo หรือบริษัทกลั่นน้ำมันในเครือของบริษัท PDVSA ที่รัฐบาลเวเนซุเอลาเป็นหุ้นใหญ่ อันมีฐานที่ตั้งอยู่ในอเมริกา ด้วยมาตรการแซงชั่นแบบชนิดไม่รู้หมู่-รู้จ่าของคุณพ่ออเมริกานั่นเอง เลยทำให้เกิดการยึดรายได้ของบริษัท Citgo ประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์เอาไว้ทั้งหมด ส่งผลให้มูลนิธิดังกล่าวจึงต้องหยุดปฏิบัติการช่วยเหลือใครต่อใครไปโดยอัตโนมัติ และส่งผลให้บิดาบังเกิดเกล้าของเด็กหญิง “Isabella” ต้องออกมาร้องไห้ฟูมฟายกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” ประมาณว่า... “ลูกสาวของผมกำลังจะตาย...เพราะมาตรการแซงชั่นของสหรัฐฯ ที่มีผลโดยตรงต่อประชาชนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทั้งหลาย...”
แต่ไม่ใช่แค่เฉพาะรายของเด็กหญิง “Isabella” เท่านั้น...บรรดาชาวเวเนซุเอลาที่กำลังขาดอาหาร ขาดเงิน ขาดทอง ในทุกวันนี้ยังต้องตกตะลึงงัน เมื่อได้ข่าวล่า-มาเรือจากประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ที่แจ้งกับบรรดานักการเมืองในพรรครัฐบาล อย่างพรรค “United Socialist Party” เมื่อช่วงวันจันทร์ (27 พ.ค.) ที่ผ่านมาว่า...บรรดาเรือขนส่งอาหารและขนส่งน้ำมันมายังเวเนซุเอลาจำนวนนับสิบๆ ลำ ได้ถูก “วินาศกรรม” โดยฝีมือของพวกที่คิดจะโค่นล้ม “นายมาดูโร” ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว เพื่อหวังอาศัยความเดือดร้อน ความทุกข์ทรมานของชาวเวเนซุเอลา เป็นตัวกดดันรัฐบาลให้หนักๆ เข้าไว้แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยมาตรการแซงชั่นแบบที่ “Jeffrey Sachs” สรุปเอาไว้ว่า ทั้ง “ไร้ผล” และ “ไร้หัวจิต-หัวใจ” ของคุณพ่ออเมริกา บรรดาชาวเวเนซุเอลาทั้งหลายไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน ไม่ว่าชอบขี้หน้า หรือไม่ชอบขี้หน้าผู้นำรัฐบาลอย่าง “นายมาดูโร” คงมีแต่ต้องร่วมจิต-ร่วมใจ ฝ่าฟันกันไปให้จงได้โดยตัวของชาวเวเนซุเอลาด้วยกันเอง...นั่นแล...