วันนี้...น่าจะลองร่อนกลับมาแถวๆ ประเทศจีน หรือแถวๆ แถบมองโกเลีย แถบมณฑลเจียงซีของจีน เพื่อลอง “ตามไปดู” ไอ้สิ่งที่เรียกๆ กันว่า “แร่หายาก” หรือ “Rare Earth” น่าจะเหมาะกว่า เพราะเห็นข่าวแวบๆ จากเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของเรานี่เอง เมื่อช่วงวันวานที่ผ่านมา ว่าหัวหน้ากองบรรณาธิการ “Global Times” สื่อทางการของจีน ผู้มีนามกรว่า “นายหู สีจิน” (Hu Xijin) ท่านถึงกับ “ทวีต” เอาไว้เมื่อวันอังคาร (28 พ.ค.) ที่ผ่านมาประมาณว่า...รัฐบาลจีนนั้น กำลังใคร่ครวญพิจารณาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าจะควบคุมการส่งออกแร่ชนิดนี้ไปยังอเมริกาหรือไม่ อย่างไร ภายใต้ภาวะที่ต่างฝ่ายต่างพยายามงัดเอาอาวุธแทบทุกชนิด มาใช้ในการทำ “สงครามการค้า” ระหว่างกันและกัน...
คือเท่าที่ลองไปสอบถาม “อากู๋กูเกิล” ท่านดู...ไอ้แร่ชนิดที่เรียกๆ กันว่า “Rare Earth” นั้น มันก็ออกจะเป็นอะไรที่ “เอาเรื่อง” อยู่พอสมควรเหมือนกัน โดยเฉพาะสำหรับโลกยุคใหม่ เพราะเป็นแร่ที่ถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าอุปกรณ์ซึ่งอุบัติขึ้นมาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่านำไปใช้กับชิปคอมพิวเตอร์ ชิปโทรศัพท์ แบตเตอรี่ ดีวีดี กล้องถ่ายรูปดิจิตอล โทรทัศน์ เตาไมโครเวฟ อุปกรณ์ใยแก้วนำแสง เครื่องยนต์เรือบิน อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ และพลังงาน ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย อันเนื่องมาจากคุณสมบัติของกลุ่มธาตุโลหะประมาณ 17 ชนิด ที่รวมๆ กันอยู่ในแร่ที่ว่านี้ ประเภท ซีเรียม (Cerium-CE) ไดสโปรเซียม (Dysprosium-DY) และอะไรต่อมิอะไรที่ออกไปทาง “เอี้ยมๆ” ทั้งหลาย ซึ่งคงไม่ต้องเสียเวลาไปเจาะลึกให้ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ามากมายจนเกินเหตุ...
แต่เอาเป็นว่า...ด้วยเหตุเพราะแร่ชนิดนี้ หรือแหล่งผลิตแร่ชนิดนี้ มันมีอยู่ในอาณาบริเวณพื้นที่ประเทศจีนเขานั่นแหละเป็นหลัก หรือว่ากันว่า...เป็นแหล่งสำรองแร่ชนิดนี้ มากถึง 44 ล้านตันเป็นอย่างน้อย ขณะที่คุณพ่ออเมริกาที่เคยเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกสินแร่ชนิดนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 มีแหล่งสำรองอยู่เพียงแค่ 1.4 ล้านตันเท่านั้น ขณะความต้องการของโลกต่อแร่ชนิดนี้ นับวันมันมีแต่จะเพิ่มกับเพิ่มยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุเพราะเทคโนโลยีใหม่ๆ นั่นแหละที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทำให้ปริมาณความต้องการของโลก นับจากปี ค.ศ. 2009 อยู่ที่ประมาณ 40,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นเป็นไม่รู้กี่แสนต่อกี่แสนตันไปแล้วเมื่อถึง ณ ขณะนี้ โดยมีคุณพี่จีนเค้านั่นแหละ...ที่เป็นผู้ผลิตได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คือผลิตได้ประมาณ 105,000 ตันต่อปีหรือประมาณ 80-95 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมด ขณะออสเตรเลียที่ตามมาเป็นอันดับสอง ผลิตได้แค่ 20,000 ตันต่อปี หรือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนอันดับสาม อันดับสี่ อันได้แก่รัสเซียและบราซิล ก็ผลิตได้ปีละระดับแค่พันๆ ตัน โดยมีพี่ไทยของเราตามไปติดอันดับกะเขาด้วย คืออยู่ในอันดับห้า ผลิตได้ปีละ 1,600 ตัน ฯลฯ เป็นต้น...
และด้วยขีดความสามารถในการสนองตอบความต้องการของตลาดโลกได้ถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์นี่เอง...ที่คุณพี่จีนเขาได้นำเอาสถานะเช่นนี้ ไปใช้เป็นอำนาจต่อรอง เป็นอาวุธในทางเศรษฐกิจ การเมืองมานานแล้ว เรียกว่า...ตั้งแต่ยุคคุณปู่ “เติ้ง เสี่ยวผิง” โน่นเลยที่เคยกล่าวคำพูดไว้ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1970-80 ประมาณว่า... “ตะวันออกกลางมีน้ำมัน แต่เรามี Rare Earth...ที่ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในทางยุทธศาสตร์ โดยเราต้องสร้างความแน่ใจว่าจะสามารถอาศัยทรัพยากรตัวนี้ ได้อย่างมีปฏิภาคและอย่างเป็นฝ่ายได้เปรียบ” ดังนั้น...การควบคุมการผลิตไปจนถึงการจำกัดการส่งออกแร่ชนิดนี้ของจีนนับแต่นั้นเป็นต้นมา จึงออกไปทางประณีตและละเอียดอ่อนเอามากๆ ไม่ได้สะเปะสะปะแบบประเภทเอาแต่สูบ เอาแต่ขุด เอาแต่คิดจะขายหาเงินกันลูกเดียว ไม่ว่าตั้งแต่การเข้าควบคุมผู้ผลิตรายเล็กๆ หรือผู้ผลิตอิสระ ให้ต้องเข้ามารวมกับผู้ผลิตรายใหญ่ ที่มีบริษัทของรัฐเป็นผู้บริหาร-จัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแร่ชนิดนี้ จากที่เคยผลิตได้ในปี ค.ศ. 1990 ประมาณ 15,000 ตัน เพิ่มขึ้นไปถึง 120,000 ตันในปี ค.ศ. 2018 แซงหน้าอเมริกาที่ต้องหันไปปิดเหมืองแร่หายากกันไปเป็นแถบๆ เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า...
แถมเมื่ออาศัยปริมาณการผลิตควบคุมตลาดได้แล้ว ยังเริ่มหันมารักษาระดับราคา เริ่มจำกัดปริมาณการส่งออก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 ให้เหลือแค่ 35,000 ตันต่อปี โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 2011 ที่ถึงกับลดโควตาการส่งออกแร่ชนิดนี้ เหลือแค่ปีละ 14,446 ตันเท่านั้น เล่นเอาบรรดาประเทศที่กำลังก้าวหน้า ก้าวไกลทางเทคโนโลยี อย่างเช่นอเมริกา-ญี่ปุ่น-ยุโรป ต่างโหยหวนครวญคราง ต้องหันไปพึ่ง “องค์การการค้าโลก” หรือ “WTO” กล่าวหาว่าจีนทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากบรรดาบริษัทธุรกิจประเภทไฮเทคทั้งหลาย ที่มีความต้องการแร่ชนิดนี้เอามากๆ ต่างหันมาย้ายฐานการผลิตไปอยู่ในเมืองจีนเพื่อให้มีโอกาสได้ใช้แร่ชนิดนี้ได้อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนัง เช่นบางส่วนของหน่วยงานวิจัยบริษัท “General Motors” ฯลฯ เป็นต้น ไม่งั้น...ก็ต้องหันไปหาแหล่งผลิต หรือแหล่งสำรองใหม่ๆ ไม่ว่าในบราซิล แคนาดา แอฟริกาใต้ แทนซาเนีย กรีนแลนด์ หรือในอเมริกาที่ต้องหันกลับมาเปิดเหมืองแร่ชนิดนี้ในแคลิฟอร์เนียหลังจากที่เคยปิดไปแล้ว แบบเดียวกับการเปิดแหล่งผลิตน้ำมัน “Shale Oil” ในสหรัฐฯ นั่นแหละ คือจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อ “ระดับราคา” มันคุ้มกับ “ต้นทุน” ...
แต่ในเมื่อจีนได้กลายเป็น “โอเปก” ของแร่ชนิดนี้ไปแล้ว...คือสามารถใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการรักษาระดับราคา การสร้างอำนาจต่อรอง หรือแม้แต่บางครั้ง บางครา อาจใช้เป็น “อาวุธ” เอาเลยก็ยังได้ อย่างที่เคยร่ำลือกันในช่วงปี ค.ศ. 2010 เมื่อครั้งญี่ปุ่นเล่นงานเรือประมงจีนที่เข้าไปเพ่นพ่านอยู่แถวๆ ชายฝั่งญี่ปุ่น จังหวะนั้นนั่นเอง...ที่บริษัทผลิตแร่หายากของจีน งดส่งออกแร่ชนิดนี้ให้กับญี่ปุ่นเอาดื้อๆ อำนาจต่อรองของจีนในเรื่องนี้...จึงทำให้หน่วยงานของอเมริกาอย่าง “US Geological Survey” หรือ “USGS” เคยออกเอกสารรายงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เรื่อง “China’s Rare-Earth Industry” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2011 เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลอเมริกันเร่งสร้างทางออก ทางเลือกใหม่ๆโดยเร็วที่สุด ด้วยการมองหาแหล่งสำรองของแร่ชนิดนี้ ในแถบภาคใต้ของประเทศอัฟกานิสถาน เป็นต้น หรือแม้แต่หันไปหาทางประนีประนอมกับ “เกาหลีเหนือ” ที่ถือเป็นแหล่งสำรองอันดับ 2 ของโลกสำหรับแร่ชนิดนี้ คือมีปริมาณแร่หายากอยู่ในพื้นที่ประเทศตัวเองถึง 20 ล้านตันด้วยกัน และว่ากันว่า...นั่นอาจเป็นเหตุให้ “ทรัมป์บ้า” พร้อมที่จะ “จูบปาก” กับ “คิมน้อย” หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะคิด แต่ก็อีกนั่นแหละ...รายได้จากการส่งออกแร่ชนิดนี้ จำนวนประมาณ 1,880 ล้านดอลลาร์ของเกาหลีเหนือ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2014 ก็ได้มาจาก “การส่งออกไปให้จีน” ผู้ไม่เพียงแต่เป็น “โอเปก” ของแร่ชนิด แต่ยังซี้แหงย่ำปึ่กกับ “คิมน้อย” ชนิดต้องนั่งรถไฟไปปรึกษาหารือ เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า ก่อนที่จะมาจับมือ ถือแขนกับ “ทรัมป์บ้า” ในแต่ละครั้ง...
สรุปเอาเป็นว่า...ถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็นของนักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศ อย่าง “นายอเล็ซซานโดร บรูโน” (Alessandro Bruno) ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “RT” ไปเมื่อไม่นานมานี้ ประมาณว่า...ด้วยสถานะการเป็นผู้ควบคุมการผลิตและจำหน่ายแร่ Rare Earth จำนวน 85-95 เปอร์เซ็นต์ในตลาดโลก จีนย่อมสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็น “อาวุธชนิดหนึ่ง” หรือเป็น “หมาก” ในการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ หรือไม่ อย่างไร ได้เสมอๆ และการเดินทางไปเยือนบริษัท “JL MAG Rare-Earth Co” ผู้ผลิตแร่ชนิดนี้ ณ เมืองก้านโจว มณฑลเจียงซี ของผู้นำจีน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาอาจต้องถือว่า...เป็นการ “แถลงการณ์อย่างไม่เป็นทางการ” (unequivocal statement) ของจีนเอาเลยก็ว่าได้...