xs
xsm
sm
md
lg

ทำไม นายแพทย์ที่เคยต่อต้านกัญชาจึงขอโทษประชาชน?

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

ในขณะที่การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเพื่อให้กัญชาเป็นอาหาร เป็นยา ไม่ใช่ยาเสพติด กำลังขึ้นสู่กระแสสูง พร้อมกับมีผู้ป่วยจำนวนมากออกมาแสดงตนเพื่อยืนยันถึงผลดีของการใช้กัญชารักษาตนเอง แทนที่ผู้บริหารหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะเกิดความสำนึกถึงความผิดพลาดของรัฐในอดีต แต่กลับออกมาบิดประเด็นโจมตีถึงผลเสียของการใช้กัญชาเกินขนาด

ที่เลวร้ายกว่านั้นบางหน่วยงานถึงกับประกาศว่าจะนำเข้าน้ำมันกัญชาจากต่างประเทศมาให้คนไทยใช้ มันช่างเป็นตรรกะที่ขัดแย้งกันเองและสามานย์ได้ถึงขนาดนี้

เราลองมาฟังเรื่องราวที่ตรงกันข้ามกับในบ้านเราครับ เป็นคำสารภาพของนายแพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่ง แล้วเราจะเห็นว่ากระบวนการที่ผิดพลาดต่อเรื่องกัญชาในอดีตเกิดขึ้นได้อย่างไร

เมื่อ 6 ปีที่แล้ว (2556) ศัลยแพทย์ระบบประสาทชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียชื่อนายแพทย์ Sanjay Gupta ซึ่งเคยทำสารคดีเพื่อต่อต้านการใช้ประโยชน์จากกัญชาหรือการทำให้กัญชาเป็นยาเสพติดและผิดกฎหมายมานานหลายปีได้ออกมาขอโทษต่อชาวอเมริกัน

นายแพทย์ Sanjay Gupta ปัจจุบันอายุ 50 ปี เคยทำสารคดีทางโทรทัศน์หลายช่องจนเป็นที่รู้จักกันดีในสังคมชาวอเมริกัน นอกจากนี้เขายังเป็นอาจารย์แพทย์ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งหนึ่ง ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้สื่อข่าวสุขภาพและการแพทย์ของ CNN

ผลงานด้านการทำสารคดีของนายแพทย์ Sanjay Gupta ทำให้เขาได้รับรางวัลมากมาย

ในปี 2552ในขณะที่รัฐโคโลราโดและรัฐเนวาดากำลังรณรงค์ให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย นายแพทย์ Sanjay Gupta ได้เขียนบทความในนิตยสาร Time เรื่อง Health : Why I Would Vote No On Pot (สุขภาพ : ทำไมผมจะโหวตไม่เอากัญชา) พร้อมอธิบายถึงความไม่ดีจริงของกัญชาต่างๆ นานา โดยใช้สถานะความเป็นนายแพทย์ของตน

ต่อมาในปี 2556 หลังจากที่เขาได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อสัมภาษณ์ผู้นำทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ปลูกกัญชา และผู้ป่วยจำนวนมาก ในจำนวนนี้เป็นการสัมภาษณ์พ่อแม่ของเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีอาการชักตั้งแต่อายุประมาณ 3 เดือน โดยที่แพทย์ผู้รักษาหมดปัญญาแล้ว แต่กลับมีอาการดีขึ้นมากด้วยน้ำมันกัญชาที่ผู้ปกครองค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต (จากการบอกต่อของเพื่อน) นายแพทย์ Sanjay Gupta ก็ได้เขียนบทความและทำวิดีโอสารคดียาว 45 นาทีเรื่อง “Weed” (หมายถึงกัญชา) พร้อมกับการออกมาขอโทษต่อประชาชนในสื่อต่างๆ มากมาย

“ผมมาที่นี่เพื่อขอโทษ”

“ผมคิดว่าเราได้ถูกชักนำอย่างเลวร้ายและเป็นระบบต่อเรื่องกัญชาตลอดมา และผมเองได้มีส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าว”


นายแพทย์ Sanjay Gupta ได้อธิบายเหตุผลซึ่งผมขอสรุปออกมาเป็น 5 ข้อ คือ

หนึ่ง ผมไม่ได้มองเรื่องกัญชาอย่างจริงจังพอ

สอง ผมมองไม่ไกลพอ

สาม ผมไม่ได้ทบทวนงานวิจัยจากห้องทดลองเล็กๆ จากประเทศอื่นเลย

สี่ ผมไม่ได้สนใจรับฟังเสียงอันดังของผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการดีขึ้นจากการได้ใช้กัญชารักษาอย่างถูกกฎหมาย แทนที่จะรับฟังเสียงของผู้ป่วย ตรงกันข้ามผมกลับคิดว่าพวกเขาแกล้งป่วยเพื่อที่จะได้รับกัญชาไปเมากัน

ห้า ผมเชื่ออย่างผิดๆ ว่า หน่วยงานที่ต้านยาเสพติด (Drug Enforcement Agency) ได้พิจารณาอย่างรอบคอบและมีเหตุผลว่ากัญชาเป็นยาเสพติดที่อันตรายที่สุดโดยไม่มีการยอมรับทางการแพทย์และมีความเป็นไปได้สูงที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิดแต่หน่วยงานดังกล่าวไม่มีผลงานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนข้ออ้างที่ว่านั้นเดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ในทางที่ผิดความจริงแล้ว ในบางกรณีกัญชาเท่านั้นที่จะสามารถรักษาได้

นายแพทย์ Sanjay Gupta ได้กล่าวย้ำในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า “กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายไม่ใช่เพราะมีผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งมาสนับสนุน แต่เป็นเพราะว่าการขาดหายไปของผลงานทางวิทยาศาสตร์ต่างหาก”

ผมขอจบเรื่องราวที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่งของนายแพทย์ Sanjay Gupta ด้วยบางภาพในสารคดีของเขาไว้เพียงแค่นี้ครับ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมเสวนาเรื่องกัญชาทางการแพทย์เพื่อผู้ป่วย แต่เนื่องจากผู้จัดมีปัญหาบางประการ ผมจึงไม่ได้ไปร่วม ผมขอนำภาพที่ผมได้เตรียมไว้มาลงไว้ที่นี้ เป็นภาพ X-ray เนื้องอกในสมองที่นายแพทย์ชาวอเมริกันอีกท่านหนึ่งนำมาเสนอในเว็บไซต์ของเขา

คอลัมน์ “โลกที่ซับซ้อน” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้นำคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอลที่มุ่งมั่นทำวิจัยเรื่องกัญชามาตลอดชีวิตที่สรุปว่า “นักวิจัยที่มีความมุ่งมั่นมากกลุ่มหนึ่งได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า ระบบ Endocannabinoid มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับโรคทุกชนิดในมนุษย์”

ผมเชื่อว่าหลายท่านฟังแล้วอาจจะรู้สึก “ไม่เชื่อ” ก็ไม่ว่ากันครับ สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ควรจะต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะได้มีผลงานทางวิทยาศาสตร์มากมายมาอธิบายและประจักษ์แล้ว แต่ท่านแกล้งไม่ได้ยินและบางครั้งก็มีเจตนาบิดเบือนความจริงด้วย

ผมขอเปรียบเทียบเรื่องนี้กับเรื่องพลังงานซึ่งผมได้ติดตามศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโซลาร์เซลล์มายาวนาน พบว่ามีราคาถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็พยายามกีดกันด้วยการโต้แย้งว่า “แพง มีน้อย ไม่เสถียร” แต่ความจริงก็ได้ประจักษ์ชัดด้วยนโยบายของรัฐบาลเองว่า จะรับซื้อไฟฟ้าจากหลังคาชาวบ้านในราคา 1.68 บาทต่อหน่วย ในขณะที่การไฟฟ้าฯ ขายให้ชาวบ้านในราคาประมาณ 4.20 บาทต่อหน่วย

มาถึงเรื่องกัญชาก็เหมือนกันครับ หน่วยงานของรัฐก็พยายามกีดกันทุกวิถีทาง ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ต้องควบคุมการปลูกบ้างละ เป็นห่วงว่าจะมีการใช้เกินขนาดบ้างละ ราวกับว่ามนุษย์ไร้สติ ขาดความสามารถในการจัดการตนเอง

ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าทั้งกัญชาและโซลาร์เซลล์มีคุณสมบัติพิเศษสำคัญร่วมกันคือ ได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่มีการกระจายตัวอยู่ทั่วทุกครัวเรือน ผูกขาดได้ยาก ในขณะที่โรงไฟฟ้าจากปิโตรเลียมและโรงงานผลิตยามีการผูกขาดและกระจุกตัวอยู่ในเฉพาะกลุ่มทุนไม่กี่รายเท่านั้น

กัญชาจะต้องเหมือนกับตะไคร้ กะเพรา ใครใคร่ปลูก ปลูก เสรี แต่การผลิตยาจากกัญชาเพื่อขายจำเป็นจะต้องควบคุมทั้งราคาและคุณภาพนี่คือประเด็นครับ

ขอเป็นกำลังใจให้กับการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมในขณะนี้ประสบผลสำเร็จครับ มิเช่นนั้นในอนาคตภาครัฐจะออกกฎหมายมาจำกัดสิทธิของประชาชนว่าใครจะตากผ้า ตากปลาก็ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลก่อน!



กำลังโหลดความคิดเห็น