เจอกับข่าวร้ายๆ...ไม่ว่าประเภท “สงครามการค้า” หรือ “สงครามเลือด” มาแทบตลอดทั้งสัปดาห์ ปิดท้ายสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตไปนำเอา “ข่าวดี” มาแลกเปลี่ยนกันมั่งนั่นก็คือ...ข่าวการพบปะเจรจา จับเข่า จับหัวหน่าว ระหว่างตัวแทนรัฐบาลเวเนซุเอลา กับตัวแทนฝ่ายค้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชาวเวเนซุเอลาด้วยกันเอง ที่จะมาร่วมหา “ทางออก” ให้กับชาติบ้านเมืองของตัวเองโดยไม่ต้องเสียเวลาลงมือ ลงตีน ระหว่างกันและกันอีกต่อไป ในโต๊ะเจรจาที่รัฐบาลนอร์เวย์ขันอาสาเป็น “ตัวกลาง” จัดเวทีพบปะขึ้นมา ณ กรุงออสโล เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้...
ส่วนรายละเอียดในการเจรจาจะเป็นไปในรูปไหน แบบไหน จะใช้วิธีให้ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า เห็นตา เพื่อไม่ให้ต้องเกิดรายการ “เหม็นหน้า” ซึ่งกันและกัน โดยอาศัยการพูดคุยผ่านคนกลางอย่างนอร์เวย์ไปเป็นช่วงๆ เป็นระยะๆ ตามรายงานข่าวที่ปรากฏออกมา หรือไม่ อย่างไรนั้น อันนี้...ยังไม่เป็นที่ทราบชัด แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันน่าที่จะช่วยให้บรรยากาศการหาทางออกโดยสันติ หรือการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ระหว่างผู้คนในชาติเดียวกันแท้ๆ เริ่มแสดงให้เห็นถึง “ความเป็นไปได้” แบบจริงๆ จังๆ โดยไม่ต้องหันไปไล่เตะ ไล่ถีบกันและกัน หรือโดยไม่ต้องหันไป “ชักศึกเข้าบ้าน” ไปลากเอากองกำลังต่างชาติ อย่างกองทัพอเมริกัน เข้ามาสังหารพล่าผลาญญาติมิตรและพ่อ-แม่-พี่-น้องของตัวเอง ที่เพียงแค่มีความคิด ความเห็น แตกต่างในระหว่าง “ฝ่ายมึง” และ “ฝ่ายกู” เท่านั้น...
อย่างไรก็ตาม...ฝ่ายประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง อย่าง “นายนิโคลัส มาดูโร” ก็ดูจะแสดงออกถึงความใจใหญ่ ใจกว้าง ความกระตือรือร้นต่อการหาทางออกเช่นนี้ อยู่พอสมควรทีเดียว รัฐมนตรีต่างประเทศเวเนฯ อย่าง “นายJorge Arreaza” ถึงกับประกาศเอาไว้ประมาณว่า การพบปะเจรจาคราวนี้สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญของเวเนซุเอลาปัจจุบัน โดย “ไม่มีปืนและไม่มีคำสั่งใดๆ ของผู้มีอำนาจวางเอาไว้บนโต๊ะ” ส่วนตัวประธานาธิบดี “มาดูโร” เอง ถึงกับสรุปเอาไว้ประมาณว่า “การเจรจาที่นอร์เวย์คือการมองหา...วาระแห่งสันติภาพ” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แม้ว่าฝ่ายประธานาธิบดีที่มาจากการแต่งตั้งตัวเอง อย่าง “นายฮวน กุยโด” ที่นำโดย “นายStalin Gonzalez” และที่ปรึกษาส่วนตัวของ “นายกุยโด” อีก 2-3 รายจะไม่ได้แสดงอาการกระดี้กระด้ามากมายนัก แถมตัว “นายกุยโด” ยังออกอาการใจแคบ ใจมด ด้วยการออกมา “ทวีต” เอาไว้ล่วงหน้าว่า “การริเริ่มเจรจาผ่านตัวกลาง...ควรเป็นการเริ่มต้นไปสู่จุดจบของพวกนักปล้นอำนาจ” อาจด้วยเหตุเพราะประธานาธิบดีผู้มาจากการแต่งตั้งตัวเองรายนี้ ออกจะหันไปให้ความสำคัญกับการเจรจาระหว่างตัวแทนของตน ที่ถูกส่งไปพบปะกับผู้บัญชาการทหารกองทัพภาคใต้ของอเมริกาเมื่อช่วงวันจันทร์ (20 พ.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการใช้กรรมวิธีทางทหาร หรือการใช้กองกำลังต่างชาติเข้ามาโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม ที่เป็นชนชาติเดียวกับตัวเอง ซึ่งออกจะเป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์” จะเป็นไปได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
เพราะนอกจากการ “รัฐประหารล้มเหลว” ที่อุบัติขึ้นมาในเวเนซุเอลาเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา...จะทำให้บรรดาพรรคพวกบริวารของ “นายกุยโด” แตกกระส่านซ่านเส็น หนียะย่าย พ่ายจะแจ เผ่นกันไปคนละทาง-สองทาง หนีไปซุกอยู่ในสถานทูตสเปนบ้าง อิตาลีบ้าง บราซิลบ้าง ฯลฯ บ้างเตลิดเปิดเปิงผ่าน “ทางออกทางธรรมชาติ” ข้ามพรมแดนไปโคลัมเบีย จนทำให้แผนการลุกฮือใดๆ ก็ตาม ออกอาการไม่ต่างอะไรไปจาก “ขอนแก่นโมเดล” ของบ้านเรา แต่การหันไปใช้แผนการขั้นสุดท้ายด้วยกรรมวิธี “ชักศึกเข้าบ้าน” หรือใช้กองทัพอเมริกันบุกเข้าไปในเวเนซุเอลาแบบดื้อๆ ทื่อๆ ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ยากลำบาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้ยิ่งขึ้นทุกที โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายไมค์ ปอมเปโอ” ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” แบบตัวต่อตัว ที่เมืองโซชิ ประเทศรัสเซีย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ และได้รับคำยืนยันอันหนักแน่นจากรัฐมนตรีรัสเซียประมาณว่า...การยกระดับความก้าวร้าวของอเมริกาต่อเวเนซุเอลาในขั้นตอนต่อไปหรือโดยการหันไปใช้กรรมวิธีทางทหารแทรกแซงเวเนซุเอลานั้น มีแต่จะต้องเจอกับ “ผลลัพธ์อันร้ายกาจ” ต่อประเทศอเมริกาเอง ด้วยเหตุเพราะรัสเซีย...ต้องการที่จะเห็นชาวเวเนซุเอลาหาทางออกด้วยตัวเอง ด้วยวิธีการเจรจาระหว่างกันและกันเท่านั้น!!!
แน่ล่ะว่า...คำพูด คำยืนยัน ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย คงไม่ใช่แค่พูดลอยๆ แบบเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ไปเรื่อยๆ แต่ยังมีกองกำลังทหารรัสเซียนับร้อย และอีกหลายๆ ร้อยที่พร้อมถูกส่งเข้าไปในเวเนซุเอลาอย่างเป็นระลอก ตามสนธิสัญญาความผูกพันทางการทหารที่รัสเซียกับเวเนซุเอลาทำเอาไว้นานแล้ว เป็นตัวรองรับคำพูดที่ว่าให้เกิดความหนักแน่นได้แบบเป็นจริง เป็นจัง แถมยังมีระบบป้องกันขีปนาวุธ S-300 ที่ภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล ระบุว่าถูกนำไปติดตั้งไว้ที่ฐานทัพ “Manuel Rios Airbase” ในเวเนซุเอลาอีกต่างหาก รวมทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ “Tu-160” ที่หนังสือพิมพ์ “Nezavismaya Gazeta” ของรัสเซีย ระบุว่าถูกส่งไปประจำการ ณ ฐานทัพเวเนซุเอลาที่เกาะ “La Orchila” ในทะเลแคริเบียน และได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง มาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนเป็นต้นมา นั่นยังไม่รวมไปถึงกองกำลังทางอิเล็กทรอนิกส์ของจีน ที่ “นายมาร์ค รูบิโอ” วุฒิสมาชิกนีโอ-คอนของอเมริกา กล่าวหาว่าถูกส่งไปช่วยเหลือรัฐบาล “มาดูโร” ด้วยการเล่นงานเครือข่ายติดต่อสื่อสารของ “นายกุยโด” ชนิดเดี้ยงแล้ว เดี้ยงอีก ไปจนถึงกองกำลังคิวบา อิหร่าน และเฮซบอลเลาะห์โน่นเลย ที่ถูกระบุว่ากระจัดกระจายอยู่เต็ม “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา อันกลายเป็นเหตุผล ข้ออ้าง ที่ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา ต้องออกแรงกระตุ้นกองกำลัง “NATO” เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับ “ภัยคุกคาม” เหล่านี้แบบจริงๆ จังๆ...
คือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าคิดจะหันไปใช้อำนาจทางทหาร คิดเปิดฉากสงครามเมื่อไหร่ โอกาสที่ “เครื่องจักรทางทหาร” อย่างอเมริกาเองนั่นแหละ จะต้องเจอกับ “ผลลัพธ์อันร้ายกาจ” อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียว่าไว้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ มีแต่ต้องหันมาหาหนทางแห่งสันติภาพ หันมาหาทางออกด้วยวิธีการเจรจาระหว่างผู้คนในชาติเดียวกันเท่านั้น อันไม่ต่างอะไรไปจาก “หมากล้อม” หรือ “หมากบังคับ” ให้อภิมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาจำต้องเดินไปในเส้นทางที่ว่านี้ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ดังนั้น...การเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในเวเนซุเอลาเที่ยวนี้ จึงถือเป็น “นิมิตหมายอันดี” ของการเมืองในระดับโลกเอาเลยก็ว่าได้ เหมือนอย่างนิมิตหมายที่เคยปรากฏขึ้นมาในประเทศซีเรียก่อนหน้านี้ รวมถึงที่กำลังจะปรากฏขึ้นมาในอิหร่านในอีกไม่นานข้างหน้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า...ฝ่ายที่ยึดมั่นใน “สันติภาพ” นั่นแหละ ที่กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ และกำลังรุกไล่ฝ่ายที่มักอาศัย “สงคราม” เป็นทางออก ให้แทบไม่เหลือ “ที่ยืน” ภายในโลกใบนี้อีกต่อไป...