xs
xsm
sm
md
lg

การปะทะขั้นสุดท้ายของสงครามการค้า (เทคโนโลยี)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


สำหรับวันนี้...เห็นทีคงต้องพักเรื่องการยั่วยวนกวนส้นตีน ระหว่างคุณปู่อิหร่านกับคุณพ่ออเมริกาเอาไว้สักพัก เพราะกว่าที่แต่ละฝ่ายจะน็อตหลุด น็อตหลวม มันคงต้องอาศัยองค์ประกอบและเหตุปัจจัยอะไรต่อมิอะไรต่างๆ อีกเยอะ แม้ว่าบรรดาพวก “บ่างช่างยุ” อย่างพวก “Team B” ที่ หรือพวกที่อยากให้ “มงคลกิตติ์” กับ “วัน อยู่บำรุง” (ประทานโทษ...ดันออกนอกเรื่องไปซะแล้ว) คือพวกที่อยากให้อิหร่านกับอเมริกาลุกขึ้นมาเตะ มาถีบกันซะเหลือเกิน จะพยายามออกเรี่ยว ออกแรงกันในระดับใดก็ตาม แต่โอกาสที่ต่างฝ่ายคิดจะเปิด “สงครามเลือด” ที่อาจต้องกลายเป็น “สงครามโลก” ตามมาแบบฉับพลัน-ทันที มันคงต้องหันมาคิดหน้า-คิดหลังไปด้วยกันทั้งคู่...

แต่สำหรับ “สงครามการค้า” หรืออาจต้องเรียกว่า “สงครามเทคโนโลยี” ไปแล้วทุกวันนี้...ระหว่างคุณพี่จีนกับคุณพ่ออเมริกานี่สิ จะเป็นเพราะมันอาจไม่ถึงกับต้องเลือดตกยางออกหรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ การลุกขึ้นมา “ใส่” กันและกัน มันเลยออกจะหนักหนาสาหัส หนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดแม้ว่าเลือดไม่ตก ยางไม่ออก แต่มูลค่าของเงินๆ-ทองๆ การค้า-การขายอันเป็นตัวก่อให้เกิดรายได้-รายจ่ายของแต่ละฝ่าย ต่างก็หนักไปทาง “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ไปด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะเมื่อเจอเข้ากับมาตรการสั่งห้ามการซื้อ-การขายใดๆ ในเรื่องอุปกรณ์โทรคมนาคมกับบริษัทจีน ที่ถูกออกมาเป็น “คำสั่งพิเศษ” ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินของประธานาธิบดีอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา เล่นเอา...ชิ้นส่วนอุปกรณ์วงจรรวมทางอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของเทคโนโลยีสื่อสารคมนาคมทั้งหลาย หรือที่เรียกว่า “Chip” นั้น ออกอาการ “ชิป...หาย” กันไปไม่น้อยทีเดียว...

คือพูดง่ายๆ ว่า...เพื่อต้องการจะ “เตะตัดขา” บริษัทเทคโนโลยีโทรคมนาคมของจีน อย่างบริษัท “หัวเว่ย” เป็นต้น อันถือเป็นการเตะตัดขาประเทศจีนทั้งประเทศไปในตัว ไม่ให้มีโอกาสผงาดขึ้นมาก้าวล้ำ นำหน้า หรือเบียดแซงความเป็น “ประมุขโลก” ของอเมริกาได้โดยเด็ดขาด ส่วนการอาศัยมาตรการทางการค้า หรือการขึ้นภาษีสินค้าจีนกันชนิดอุตลุด ชุลมุนวุ่นวายมาโดยตลอด เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็เป็นแค่ “ฉากบังหน้า” ความประสงค์ ความต้องการ อันเป็นไปตาม “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา” ซึ่งสืบเนื่อง สืบต่อกันมาแทบทุกรัฐบาล นั่นคือความต้องการที่จะคงสถานะความเป็นจ้าวโลก หรือประมุขโลก ที่มิอาจมีผู้หนึ่ง ผู้ใดขึ้นมาเบียดชิง หรือเทียบเคียงได้เลยนั่นเอง...

ด้วยเหตุนี้...การหาทางทำให้ประเทศจีนในอนาคตข้างหน้า ไม่มีโอกาส “เข้าถึง” รายได้จำนวนมหาศาล ระดับนับเป็นล้านล้านดอลลาร์ขึ้นไป หรือระดับที่ฝ่ายจีนเขาเคยคาดๆ กันว่า น่าจะสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศจีนภายในปี ค.ศ. 2030 ไม่น้อยไปกว่า 6.3 ล้านล้านหยวน หรือ 927,000 ล้านดอลลาร์ จนสามารถนำมาใช้เป็น “กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ในรูปแบบใหม่ ก่อให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศไม่น้อยกว่า 8 ล้านตำแหน่งเป็นอย่างน้อย และจะกลายเป็นตัวรองรับ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของจีน” ที่เรียกๆ กันว่า “Made in China 2025” ยุทธศาสตร์อันจะทำให้จีนผงาดขึ้นมาเบียด มาแซงอเมริกาได้แบบเป็นจริง-เป็นจัง โดยที่ไม่มีใครเป็นจ้าวโลกอีกต่อไป เนื่องจากโลกที่ได้กลายสภาพเป็นโลก “หลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว...

กระบวนการ “เตะตัดขา” จีนในลักษณะทำนองนี้...จึงเป็นไปในแบบต่อเนื่อง ยืดเยื้อ และยาวนาน ชนิดไม่ว่าจะหาข้อสรุปกันอย่างไร จะเจรจากันแล้ว-กันอีก กี่รอบต่อกี่รอบก็ตาม ก็แทบไม่มีวันหาข้อยุติได้เลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่ “ทัศนคติและจุดยืนในการมองโลก” ของแต่ละฝ่าย ต่างกันแบบขาวกับดำ แบบหน้ามือเป็นหลังตีนเช่นนี้ การอาศัยกรรมวิธีแบบ “แอบจิต” ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจีนเที่ยวแล้ว-เที่ยวเล่า จึงค่อยๆ กลายมาเป็นการเล่นกันแบบ “สว่างจิต” เล่นกันแบบโต้งๆ โจ้งๆ ไม่ว่าด้วยการเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ไปจนถึงการข่มขู่ บังคับ ไม่ให้ประเทศใดในโลกนี้หันไปใช้บริการเทคโนโลยีของจีน ซึ่งไปๆ-มาๆ แล้ว...ดูจะออกไปทาง “แห้วกระป๋อง” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ว่ากระทั่งพันธมิตรที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาโดยตลอดในยุโรป ไล่มาตั้งแต่อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ฯลฯ ชักจะไม่เอาด้วย หรือไม่ยอม “เห็นควรด้วย” ไปด้วยกันทั้งสิ้น การหันมาบีบบังคับบรรดาบริษัทธุรกิจภายในประเทศของตัวเอง ไม่ให้ทำการซื้อและขายใดๆ กับบริษัทโทรคมนาคมของจีน จึงถือเป็นมาตรการสุดท้าย หรือเป็น “ขั้นตอนสุดท้าย” ของ “สงครามการค้า” หรือ “สงครามเทคโนโลยี” ระหว่างจีนกับอเมริกาก็ว่าได้...

ด้วยเหตุนี้...การยกโขยง ยกพหลพลโยธา ชนิดอาจหนักซะยิ่งกว่าการส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินทิ้งระเบิด หรือบรรดาขีปนาวุธทั้งหลาย ไปล้อมกรอบอิหร่านในช่วงระยะนี้ จึงเริ่มปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของอเมริกา อย่าง “Qualcomm”, “Intel”, “Xilinx”, “Broadcom” ฯลฯ จึงออกมาไสช้าง ไสม้า ล้อมกรอบจีน หรือประกาศว่าจะไม่ยอมซื้อ-ขายชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กับจีนเป็นอันขาด แม้แต่ “อากู๋กูเกิล” หรือบริษัท “Google” ที่มีพลังอำนาจในทางการให้บริการด้านซอฟต์แวร์ต่อตลาดการสื่อสารทั่วโลก ไม่ต่างไปจากเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Abraham Lincoln” เอาเลยก็ว่าได้ ยังออกมาประกาศว่าจะไม่ยอมร่วมมือ หรือไม่ยอมเกี่ยวข้องใดๆ ในทางธุรกิจกับบริษัท “หัวเว่ย” ของจีนโดยเด็ดขาด!!!

อันนี้นี่แหละ...ที่ต้องเรียกว่า น่าสยดสยอง น่าขนลุก-ขนพองเป็นอันมาก เพราะไม่เพียงแต่ถือเป็นการสร้างบรรยากาศที่สวนทางกับโลกยุค “โลกาภิวัตน์” แบบชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ยังจะเป็นตัวสร้างความปั่นป่วนให้กับกระบวนการผลิต การตลาด การบริโภค การค้า-การขาย และแม้แต่การไหลไป-ไหลมาของทุน ที่มันแทบไม่มี “พรมแดน” มานานแล้ว ให้ต้องถูกกระชากลากถู ต้องเลือกข้าง-เลือกฝ่าย อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...

อย่างไรก็ตาม...ถ้าหากใครได้มีโอกาสอ่านข้อเขียน บทความ ของอภิมหาคอลัมนิสต์ อย่าง “เดวิด พี.โกลด์แมน” (David P. Goldman) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักวิเคราะห์สถานการณ์ระหว่างประเทศที่สุดแสนจะลุ่มลึก ลึกซึ้ง ไม่ต่างไปจากความเป็นอัจฉริยะในด้านดนตรี และเคยโด่งดังมาจากนามปากกา “Spengler” เมื่อครั้งอดีต ซึ่งได้ตั้งคำถามเอาไว้ในข้อเขียนที่ชื่อว่า “ทรัมป์ขยายสงครามการค้า...แต่จะเอาชนะสงครามเทคโนโลยีกับจีนได้หรือ?” ในเอเชียไทมส์ ออนไลน์ และเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” เพิ่งนำมาถ่ายทอด เผยแพร่ ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็น่าจะพอได้ “คำตอบ” อยู่บ้างรางๆ เพราะว่าไปแล้ว...บริษัทผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของอเมริกา อย่าง “Qualcomm” นั้น ว่ากันว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของรายได้บริษัท ก็มาจากการขาย “ชิป” ให้กับจีนเขานั่นแหละ อีกทั้งจากอดีตที่ผ่านมา...ที่อเมริกาเคยเป็นผู้ส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลก เมื่อปี ค.ศ. 2011 แต่มาถึง ณ บัดนี้ หรือช่วงปี ค.ศ. 2018 ส่วนแบ่งตลาดของอเมริกาเหลือเพียงแค่ 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่การถูกกด ถูกบีบ ถูกไล่เหยียบ ไล่กระทืบมาโดยตลอด ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีของจีนเกิดการดิ้นรนหาทางผลิต “ชิป” ของตัวเองเอาไว้รองรับ จนกระทั่ง “ชิป” ของบริษัท “หัวเว่ย” ที่เรียกๆ กันว่า “Ascend” ชักกลายเป็นอะไรที่ถูกกว่า และคุณภาพดีกว่า “ชิป” ของอเมริกา หรือยุโรปไปแล้วจนบัดนี้ ดังนั้น...ใครจะเป็นฝ่าย “ชิป...หาย” กันในขั้นตอนสุดท้าย ก็คงต้องตามไปลุ้นกันดูอีกที แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ต้นเหตุแห่งความ “ฉิบหาย” ของโลกทั้งโลก น่าจะอยู่ที่คุณพ่ออเมริกา หรือ “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง อย่างไม่พึงต้องสงสัยต่อไปอีกแล้ว...
กำลังโหลดความคิดเห็น