xs
xsm
sm
md
lg

โลกภายใต้ “ความห่าม” ของอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
ดูเหมือนว่า...อาการ “บ่มไม่สุก” หรือ “ความห่าม” ของผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ในช่วงหลังๆ จะมีความเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกไปจากความพยายามอยากที่จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันสมัยที่สอง หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังอุบัติขึ้นมาในปี ค.ศ. 2020 อย่างแทบเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” คือระหว่างที่คะแนนนิยมยังอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ยังไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ มีแต่ต้องอาศัย “ความห่าม” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการเท่านั้น อะไรต่อมิอะไรมันถึงจะพอกระเตื้องๆ ขึ้นมาได้มั่ง...

และด้วยเหตุนี้นี่เอง...เลยทำให้นโยบายแบบ “เสี่ยงๆ” หรือแบบ “บ้าก็บ้าวะ” จึงทยอยไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาจากรัฐบาลอเมริกันกันเป็นชุดๆ อย่างเรื่องการเจรจาสงครามการค้ากับจีน ที่เคยทำท่าว่าน่าจะ “คืบหน้า” กันไปมิใช่น้อย แม้แต่ตัว “ทรัมป์บ้า” เอง ยังเคย “ทวีต” แสดงความพออกพอใจต่อผลการเจรจามาตามลำดับขั้น แต่สุดท้าย...ทุกสิ่งทุกอย่างก็ “จบแบบไม่จบ” เอาดื้อๆ แถมยังเกิดการงัดเอามาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนระลอกใหม่อีกกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มาสร้างความตึงเครียดให้กับระบบเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก อย่างชนิด “หลับไม่ลง” กันไปเป็นแถบๆ...

คืออันที่จริงก็พอที่ทราบๆ กันโดยทั่วไปนั่นแหละว่า...สงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา เอาเข้าจริงๆ แล้วมันคงไม่ได้เกี่ยวกับการขาดดุล การได้เปรียบ-เสียเปรียบทางการค้าอะไรมากมายนัก แต่มันเป็นเรื่องของความพยายาม “เตะตัดขา” ความพยายามทำลายศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน อย่างที่สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” เขาสรุปเอาไว้เมื่อวันสองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “สงครามการค้าเป็นเพียงแค่ฉากหน้าของข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เจตนาที่แท้จริงของสหรัฐฯ ก็ยังคงมุ่งที่อยู่การสร้างแรงกดดันให้กับความพยายามชะลอการเติบโตของจีนในด้าน High Tech อันเป็นกุญแจสำคัญของความขัดแย้งเหล่านี้” และแม้ว่าความพยายาม “เตะตัดขา” ในลักษณะดังกล่าว จะประสบความล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะความพยายามเรียกร้องให้ใครต่อใคร โดยเฉพาะบรรดาพันธมิตรในยุโรปให้เลิกใช้บริการเทคโนโลยี 5G ของจีน แต่แทบไม่มีใครเอาด้วย หรือ “เห็นควรด้วย” เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าอิตาลี, ฝรั่งเศส, เยอรมนี หรือแม้แต่อังกฤษที่เคยได้ชื่อว่าเป็น “สุนัขพูเดิล” ของอเมริกา ก็ยังต้องเปิดไฟเขียวให้กับระบบ 5G อย่างมิอาจปฏิเสธ...

แต่แทนที่ความล้มเหลว หรือความพ่ายแพ้เหล่านี้...จะทำให้อเมริกาหันไปหาช่องทางอื่นๆ ในการต่อรองการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันแทนที่ การหันมาสร้างความปั่นป่วนให้กับบรรยากาศการค้าโลก ด้วยการเพิ่มแรงกดดันในเรื่องอัตราภาษีศุลกากรต่อจีนอย่างชนิดหามุมจบแทบไม่เจอ มันจึงส่งผลให้เกิดภาวะอย่างที่ “นายไมเคิล เทย์เลอร์” (Michael Taylor) ผู้อำนวยการบริหาร “Moody’s Investor Service” ได้ออกมาให้ความเห็นเมื่อวัน-สองวันนี้นั่นแหละว่า คือภาวะที่ “โลกทั้งโลกต้องตกเป็นเหยื่อ” ของมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ไปจนได้ หรือทำให้เกิดการ “เพิ่มอัตราเสี่ยงของระบบสินทรัพย์ทั่วโลก เกิดความตึงเครียดต่อระบบการเงินและการชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม” แม้จะเป็นวิธีที่ “ง่ายกว่า” หรือ “เร็วกว่า” สำหรับอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ “ทวีต” เอาไว้แบบห่ามแสนห่ามก็ตามที...

ไม่ต่างไปจากความพยายามสร้างแรงกดดันให้กับประเทศ “คู่กัด” อย่างอิหร่านนั่นแหละ...แม้ว่ารัฐบาลอเมริกันจะประกาศว่าไม่ได้คิดจะ “เปิดฉากสงครามกับอิหร่าน” แต่อย่างใด แต่การยกพหลพลโยธาเข้าไปล้อมกรอบ ไปยั่วยวนกวนส้นตีนอิหร่านถึงปากประตูบ้าน ระดมเรือบรรทุกเครื่องบินทิ้งระเบิด จรวดต่อต้านขีปนาวุธและทำลายล้าง เข้าไปจ่อหัวอิหร่านในทุกๆ ทิศทาง ย่อมก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ที่ไม่ได้มีผลดีต่อโลกทั้งโลกเอาเลยแม้แต่น้อย หรืออย่างที่คอลัมนิสต์เอเชียไทมส์ ออนไลน์ “เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร” ให้ความเห็นไว้ในข้อเขียนเมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และ “เว็บไซต์ผู้จัดการ” ได้นำมาถ่ายทอดเอาไว้นั่นแหละว่า... “แม้ทั้งอิหร่านและอเมริกา...ดูจะไม่ได้คิดทำสงครามกัน แต่การแสดงท่าทีมุ่งท้าทายฝ่ายตรงข้ามแบบสุดขอบ ย่อมก่อให้เกิดอันตรายด้วยตัวของมันเองโดยต้องไม่ลืมว่า...อิสราเอลกำลังเฝ้ารออยู่ข้างๆ และพร้อมที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมสกปรกอะไรขึ้นมาก็ได้...”

คืออย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายจาวาด ซารีฟ” ได้ให้สัมภาษณ์สื่อตะวันตกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละว่า ผู้ที่อยากลากเอากองทัพอเมริกันให้มาปะทะกับกองทัพอิหร่าน แบบชนิดเนื้อเต้นสั่นระริกๆ อย่างน้อยก็มีอยู่ถึง 4 รายด้วยกัน ไล่มาตั้งแต่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” มกุฎราชกุมารซาอุฯ เจ้าชาย “MbS” (Mohammad bin Salman) มกุฎราชกุมารยูเออี เจ้าชาย “MbZ” (Mohammad bin Zayed Al Nahyan) จนถึง “นายจอห์น โบลตัน” ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว การยกพหลพลโยธาเข้ามาป้วนเปี้ยน ล้อมกรอบอิหร่านเอาไว้ในทุกๆ ด้าน ด้วย “ข้ออ้าง” ใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมทำให้โอกาสที่จะเกิด “อุบัติเหตุทางทหาร” ตามความประสงค์ ความต้องการ ของกลุ่มคนเหล่านี้ ย่อมเป็นไปได้ยิ่งขึ้นเท่านั้น...

และล่าสุด...ก็ได้นำฉากเหตุการณ์ซึ่งสะท้อนถึง “เล่ห์เหลี่ยมสกปรก” ค่อนข้างชัดเจน อุบัติขึ้นมา ณ เมืองท่า “Fujairah” ของยูเออี ซึ่งอยู่เลยปากทางเข้าช่องแคบฮอร์มุซไม่เท่าไหร่ นั่นคือการลอบวินาศกรรมเรือสินค้าและเรือขนส่งน้ำมัน 4 ลำ โดยผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแต่น่าจะประสงค์ร้ายอยู่แล้วแน่ๆ แม้ว่าจะยังจับมือใครดมแทบไม่ได้ หรือแม้ว่าโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายAbbas Mousavi” จะสรุปว่าเป็น “แผนสมคบคิด” เพื่อหวังป้ายขี้ให้อิหร่านก็ตาม แต่ก็ทำให้เกิดข้อเรียกร้องของทางการยูเออีขอให้ประชาคมระหว่างประเทศเร่งเข้ามาดูแลเสถียรภาพ ความปลอดภัย ในเส้นทางคมนาคมบริเวณนี้ หรือก่อให้เกิด “ความชอบธรรม” ต่อป้วนเปี้ยนไป-มาของเรือรบสหรัฐฯ ในบริเวณในพื้นที่ดังกล่าว เอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นเอง...

ดังนั้น...ไม่ว่าเหตุการณ์มันจะพัฒนาไปในรูปไหนก็ตาม แต่บรรยากาศความตึงเครียดย่อมต้องมีแต่เพิ่มกับเพิ่มอย่างมิอาจลดลงได้ง่ายๆ โดยเฉพาะต่อ “ราคาน้ำมัน” ที่แกว่งขึ้น-แกว่งลง จนหาความแน่นอนแทบไม่ได้ และนั่นย่อมทำให้ภาวะทางการค้า ซึ่งกำลังเต็มไปด้วยอัตราเสี่ยงต่อระบบสินทรัพย์ ต่อระบบการเงินและการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจาก “โลกทั้งโลกได้ตกเป็นเหยื่อ” ต่อมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างที่ผู้อำนวยการบริหาร “Moody” ได้ว่าไว้ ยิ่งต้องมีแต่ต้องหนักหนา สาหัสยิ่งๆ ขึ้นไปเท่านั้น โดยบรรดาสิ่งต่างๆ เหล่านี้...ล้วนแล้วแต่มีที่มาจาก “ความห่าม” หรือความบ่มไม่สุกของผู้นำอเมริกัน ผู้อยากกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย โดยแทบไม่ต้องสนใจว่าโลกทั้งโลก หรือแม้แต่ชาวอเมริกันด้วยกันเอง จะต้องเจ็บปวดรวดร้าวทรมานกันไปอีกถึงขั้นไหน...
กำลังโหลดความคิดเห็น