xs
xsm
sm
md
lg

เวเนซุเอลา...ในภาวะใส่เสื้อแดง แขวนกระดิ่ง ปล้นกลางวันแสกๆ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

นายฮวน กุยโด ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา
สำหรับช่วงวัน-สองวันนี้...คงหนีไม่พ้นต้องร่อนกลับไปดูฉากเหตุการณ์ในประเทศสวนหลังบ้านของอเมริกา อย่าง “เวเนซุเอลา” กันอีกนั่นแหละทั่น เพราะหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก กันมานานพอสมควร เมื่อช่วงวันอังคาร (30 เม.ย.) ที่ผ่านมา แต่ละฝ่ายก็เริ่ม “ใส่” กันอย่างเป็นงานเป็นการขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากที่ประธานาธิบดีที่มาจากการแต่งตั้งตัวเองโดยการสนับสนุนของคุณพ่ออเมริกา อย่าง “นายฮวน กุยโด” ได้ออกมาป่าวประกาศแผนการขั้นสุดท้าย ในการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ “นายนิโคลัส มาดูโร” ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดลงไปให้จงได้!!!

โดยการป่าวประกาศที่ว่า...ได้อาศัยฉากบรรยากาศของหน่วยงานทางทหารในฐานทัพอากาศ “Francisco de Miranda Air Base” ณ กรุงคาราคัสเป็นเครื่องขับเน้นความเอาจริง-เอาจัง มีผู้คนที่แต่งเครื่องแบบทหาร ยืนรายล้อมรอบๆ “นายฮวน กุยโด” ขณะกำลังกล่าวคำพูด คำปราศรัย ชักชวน ชี้ชวน ให้ชาวเวเนซุเอลา “ออกไปตาย” หรือออกไปรวมกำลังกันบนท้องถนน เนื่องจาก “จุดเริ่มต้นของจุดจบ ตามแผนปฏิบัติการ Operation Freedom ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!!” โดยการอาศัย “มวลชน” ผนวกเข้ากับ “กองกำลังอาวุธไม่ทราบฝ่าย” เป็นเครื่องมืออันจะนำไปสู่การพลิกฟ้า-คว่ำดิน หลังจากที่ต้องยืดเยื้อกันมานาน...

ฉากสถานการณ์ในกรุงคาราคัส...ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ จึงน่าจะออกไปทางคล้ายๆ ฉากสถานการณ์ในบ้านเมื่อช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมานั่นแหละ ช่วงที่บรรดาพวก “เสื้อแดง” ผนวกรวมตัวเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ “ชายชุดดำ” เกิดการงัดเอาทั้งกระสุนยาง กระสุนจริง ไปจนถึงแก๊สน้ำตายิงใส่กันไป-ใส่กันมา ชนิดเละเป็นโจ๊ก เละเป็นขี้ กันไปในแต่ละจุด แต่ถ้าพูดถึงพื้นที่โดยรวม ก็อาจเป็นไปดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา “นายJorge Arreaza” ซึ่งเพิ่งถูกรัฐบาลอเมริกาประกาศ “แซงชั่น” ไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ กล่าวเอาไว้นั่นแหละว่า “ภายใต้อาณาเขต 916,050 ตารางกิโลเมตร (เนื้อที่ประเทศเวเนซุเอลา) มีเพียงแค่สะพานเล็กๆ และถนนไฮเวย์บางส่วนแถวๆ ฐานทัพอากาศเท่านั้น ที่ถูกยึดโดยพวกคิดก่อการรัฐประหาร...”

และถ้าเป็นไปดังที่ “นายJorge Arreaza” แกว่าเอาไว้จริง...หรือเป็นเพราะ “กองทัพแห่งชาติ” (FANB) ของเวเนซุเอลาทั้งมวล ยังคงสมัครใจที่จะยืนเคียงข้างประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งตามกฎหมาย อย่าง “นายมาดูโร” หรือมีแค่ทหารกลุ่มเล็กๆ ในฐานทัพอากาศ “De Miranda” ที่เรียกๆ กันว่า “La Carlota” เพียงประมาณ 70 คนเท่านั้น ที่พร้อมเล่นบทเป็น “ชายชุดดำ” หรือเป็นพวก “ทรยศ” พวก “กบฏ” ตามคำเรียกของรัฐมนตรีกลาโหมเวเนซุเอลา อย่าง “นายVladimir Padrino Lopez” แกเรียกขานเอาไว้ทำนองนั้น การค่อยๆ “กระชับพื้นที่” แบบประเภทยึดสวนลุมฯ ยึดวัดปทุมวนาราม กลับคืนมาจากผู้ก่อความไม่สงบเรียบร้อย ก็น่าจะไม่ถึงกับลำบากยากเย็นสักเท่าไหร่ แบบเดียวกับที่คณะรักษาความสงบเรียบโร้ยย์ย์ย์แห่งชาติ หรือ คสช.ของบ้านเรา เคย “เอาอยู่” มาแล้วนั่นแหละ...

แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อเวเนซุเอลานั้นต้องเจอกับภาวะ “โลกล้อมประเทศ” แบบแทบไม่มีโอกาสหายใจ หายคอ ได้สะดวกๆ เหมือนบ้านเรา หรือต้องเจอกับการแทรกแซงแบบตรงไป-ตรงมาของคุณพ่ออเมริกา อย่างชนิดยังไงๆ...ต้องเอาให้ล้ม ให้โค่น ให้จงได้ จำนวน “ชายชุดดำ” ในเวเนซุเอลา ก็คงไม่ได้มีแค่พวก “ทรยศ” พวก “กบฏ” ในฐานทัพอากาศ “La Carlota” แค่ไม่กี่สิบคน หรือไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น ถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ได้โยงใยไปถึงความเคลื่อนไหวของนักธุรกิจด้านการรักษาความปลอดภัยชาวอเมริกัน อดีตเจ้าหน้าที่กองทัพเรือสหรัฐฯ ผู้มีชื่อว่า “นายErik Prince” แห่งบริษัท “Blackwater” หรือ “Academi” อันเป็นบริษัทที่ได้ชื่อมีความเชี่ยวชาญในการระดม “ทหารรับจ้าง” เข้ามาปฏิบัติการใดๆ ก็ตาม ตามคำสั่ง ใบสั่ง ของผู้จ้างวานรายใดก็แล้วแต่ โอกาสที่บรรดา “ชายชุดดำ” ในเวเนซุเอลาขณะนี้ อาจมีจำนวนปาเข้าไปไม่น้อยกว่า 5,000 คน ประกอบไปด้วยทหารรับจ้างจากโคลอมเบีย และบางประเทศในละตินอเมริกา ที่อาจกระจัดกระจายอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ ของเวเนซุเอลาเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้!!!

ไม่เช่นนั้น...บรรดาผู้นำทางการเมืองในอเมริกาแต่ละราย ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ระดับรองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” ที่ปรึกษาทำเนียบขาว “นายจอห์น โบลตัน” ฯลฯ คงไม่รีบออกมาป่าวประกาศแบบเต็มปาก เต็มคำ ว่ารัฐบาลอเมริกาพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างกับผู้ที่กำลัง “ก่อรัฐประหาร” ในเวเนซุเอลาขณะนี้ แถมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (30 เม.ย.) ยังส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอเมริกันในกรุงวอชิงตัน ไปปิดล้อมสถานทูตเวเนซุเอลาแบบดื้อๆซะยังงั้น หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่า “แผนการขั้นสุดท้าย” ที่เรียกๆ กันว่า “Operation Freedom” ของ “นายฮวน กุยโด” จะเป็นไปในรูปไหนก็แล้วแต่ มันคงไม่ต่างอะไรไปจาก “การก่อการรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามกฎหมาย โดยรัฐบาลประชาธิปไตยแบบอเมริกาๆ” นั่นเอง...

การแทรกแซงแบบเล่นกันดื้อๆ ทื่อๆ เช่นนี้...จึงทำให้ประธานาธิบดีโบลิเวีย อย่าง “นายEvo Morales” ที่เคยผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดรวดร้าวจากการแทรกแซงของอเมริกาต่อบรรดาประเทศในละตินอเมริกามาโดยตลอด จึงอดรนทนไม่ได้ถึงขั้นต้องออกมา “ทวีต” กันในแบบฉับพลัน-ทันที ประมาณว่า... “การแทรกแซงของสหรัฐฯ เพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร การกระตุ้นความรุนแรง และความตายขึ้นภายในประเทศเวเนซุเอลาขณะนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ได้สนใจต่อความสูญเสียชีวิตของผู้คนเอาเลยแม้แต่น้อย แต่มุ่งไปสู่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ดังนั้น...บรรดาประเทศในละตินอเมริกาทั้งหลาย พึงต้องระมัดระวังและต้องพยายามสร้างความเป็นเอกภาพระหว่างกันและกัน เพื่อไม่ให้แผนการรัฐประหารแบบหยาบๆ ง่ายๆ เช่นนี้ ถูกรื้อฟื้นให้หวนกลับคืนมาสู่ภูมิภาคของเราได้อีกเป็นเด็ดขาด...”

และคงต้องถือเป็น “ข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้” อย่างที่ประธานาธิบดี “Morales” ท่านเอาไว้นั่นแหละ...โดยเฉพาะถ้านำเอาหลักฐาน ข้อพิสูจน์จากหน่วยงานสหประชาชาติ อย่างองค์กร “UN Sustainable Development Solution Network” ที่ร่วมมือกันกับองค์กร “Center for Economic and Policy Research” ของอเมริกาเอง ศึกษาและวิจัยออกมาเป็นรายงานเผยแพร่ไว้เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ได้ระบุถึงจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่ต่ำกว่า 80,000 รายในเวเนซุเอลา รวมถึงผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดัน ถูกปล่อยให้ตายกันรายแล้ว รายเล่า เพราะไม่สามารถหาซื้อยา ซื้ออินซูลินมาบรรเทาเบาบางอาการป่วยได้เลย เนื่องจากการแซงชั่นของอเมริกาต่อเวเนซุเอลา นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 เป็นต้นมา จนทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หรือผู้ที่ไม่ได้คิดจะ “เลือกข้าง” ใดๆ เอาเลยก็แล้วแต่ ต้องล้มตายไปแล้วไม่น้อยก่า 40,000 รายเป็นอย่างน้อย...

การตัดสินใจ “ก่อรัฐประหารเพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตย” ในลักษณะไม่ต่างอะไรไปจากการ “ชักศึกเข้าบ้าน” ของลูกสมุนอเมริกาอย่าง “นายฮวน กุยโด” คราวนี้ จะมีบทสรุปออกไปในแนวไหน อย่างไร??? จึงคงต้องคอยติดตามกันอย่างมิอาจกะพริบตา เพราะชัยชนะและความพ่ายแพ้ของแต่ละฝ่ายในเวเนซุเอลา อาจนำมาใช้เป็นมาตรฐานแห่งชัยชนะและความพ่ายแพ้ของโลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากแทบไม่มีอะไรที่โจ่งแจ้ง แดงแจ๋ ไม่ต่างไปจาก “ใส่เสื้อแดง แขวนกระดิ่ง ปล้นกันกลางวันแสกๆ” เช่นนี้ ย่อมไม่มีอีกแล้ว...
กำลังโหลดความคิดเห็น