xs
xsm
sm
md
lg

น้ำมันอิหร่านกับการเมืองโลก

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปดูเรื่อง “ราคาน้ำมัน” ดูสักหน่อย เพราะถือเป็นเรื่องที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบกับใครต่อใครได้ในระดับทั่วทั้งโลก ภายใต้ภาวะการขึ้นๆ-ลงๆ แบบเอาแน่-เอานอนแทบไม่ได้ ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ระดับราคาช่วงหลังๆ นี้ ต้องถือว่าน่าจะพอเหมาะ พอประมาณ และไม่ถึงกับแกว่งไป-แกว่งมามากมายสักเท่าไหร่อย่างที่หน่วยงานด้านพลังงานของสหรัฐฯ “US Energy Information Administration” เขาได้ประมาณการระดับราคาเฉลี่ยตลอดทั้งปี ค.ศ. 2019 เอาไว้ที่ประมาณ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และในปี ค.ศ. 2020 อาจลดลงมาเหลือประมาณ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล...

แต่หลังจากช่วงวันจันทร์ที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา...หรือหลังจากรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” โดย “นายไมค์ ปอมเปโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัดว่าเพื่อที่จะทำให้รายได้จากการส่งออกน้ำมันของประเทศ “คู่กัด” ของอเมริกาอย่างอิหร่านต้อง “เหลือศูนย์” ให้จงได้ นับแต่นี้อเมริกาจึงต้องประกาศยกเลิก “ข้อยกเว้น” ในการสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่านของชาติต่างๆ ประมาณ 8-9 ชาติ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ชนิดใครก็ตามที่ยังคิดสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่าน จะต้องถูกตามไปไล่เหยียบ ไล่กระทืบ ต้องถูกแซงชั่นจากอเมริกาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงเท่านี้...ก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ในตลาดซื้อ-ขายล่วงหน้าเมื่อช่วงวันอังคารที่ 23 เม.ย. เกิดอาการเด้งดึ๋ง พุ่งพรวดๆ พราดๆ ไปอยู่ที่ 74.18-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แบบฉับพลัน-ทันที หรือเพิ่มสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา...

อย่างไรก็ตาม...นับจากนี้ราคาน้ำมันจะผันผวนขึ้นๆ-ลงๆไปอีกขนาดไหน การร่วมมือผลิตน้ำมันของ 3 ประเทศอย่างอเมริกา ซาอุฯ ยูเออี จะสามารถชดเชยปริมาณน้ำมันนับล้านๆ บาร์เรลต่อวันของอิหร่าน ที่ต้องหายไปจากตลาดได้หรือไม่ อย่างไร หรือบรรดาประเทศที่ถูกยกเลิก “ข้อยกเว้น” ไม่ว่าจีนที่เคยสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่านถึงวันละ 613,000 บาร์เรลต่อวัน เกาหลีใต้ที่สั่งซื้อน้ำมันอิหร่านถึง 387,000 บาร์เรลต่อวัน ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาน้ำมันอิหร่านไม่น้อยกว่า 108,000 บาร์เรลต่อวัน อินตะระเดียที่เพิ่งเพิ่มการซื้อน้ำมันอิหร่านถึงวันละ 258,000 บาร์เรลต่อวัน ตุรกีที่ยังคงสั่งซื้อถึง 97,000 บาร์เรลต่อวัน ฯลฯ บรรดาประเทศเหล่านี้จะขี้หด-ตดหาย ยอมเผ่นไปหาซื้อน้ำมันจากแหล่งอื่น ที่ออกจะหาซื้อได้ยากส์ส์ส์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าหากไม่ถูกคุณพ่ออเมริกาแซงชั่น อย่างเช่นน้ำมันเวเนซุเอลา ที่ต้องลดการผลิตลงไปถึง 36.4 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ถูกอเมริกาไล่บีบ ไล่บี้ ไม่น้อยไปกว่าอิหร่าน ก็อาจมีปัญหาภายในอันเนื่องมาจากการแทรกแซงของอเมริกาอีกนั่นแหละ เช่นน้ำมันลิเบีย ที่ยังรบกันไม่เสร็จอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ อันนั้น...คงต้องปล่อยให้แต่ละประเทศไปปวดหัวกันเอาเอง...

แต่ที่น่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ ก็คือว่า...ความเกลียด โกรธ อาฆาต พยาบาทของคุณพ่ออเมริกาที่มีต่อประเทศอย่างอิหร่านในทุกวันนี้ มันออกจะเป็นอะไรที่ “เว่อร์” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดแทบไม่อาจหาเหตุผล คำอธิบายใดๆ เข้ามารองรับได้เลย ว่าทำไมมันถึงได้เคียดแค้นและชิงชังไปได้ถึงปานนั้น ทั้งๆ ที่อิหร่านนั้น...ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่เคยสร้างความเจ็บปวด รวดร้าวให้อเมริกามาก่อนซะที่ไหน ประเภทที่เคยยกฝ่าตีนลูบหน้าอเมริกา บุกเข้าไปถึงใจกลางประเทศอเมริกา ก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์เมื่อครั้งเหตุการณ์ 9/11 ก็กลับออกไปทาง “แขกซาอุฯ” ซะมากกว่า ไม่ใช่ “แขกเปอร์เซีย” อย่างอิหร่านเอาเลยแม้แต่น้อย ส่วนที่เคยจับเอาชาวอเมริกันเป็นตัวประกัน เมื่อครั้งปฏิวัติอิสลาม ก็เป็นอะไรที่น่าจะลืมๆ กันไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นรัฐบาลอเมริกันบางยุค บางสมัย คงไม่คิดจะแอบ “ขายอาวุธ” ให้อิหร่าน เพื่อเอาเงินมาสนับสนุน “กบฏคอนทรา” ในนิคารากัว จนกลายเป็นเรื่องราวฉาวโฉ่ ชนิดรู้กันไปทั้งโลก...

แต่ดูเหมือนว่า...ความเกลียด ความโกรธของอเมริกาที่มีต่ออิหร่าน โดยเฉพาะในยุคของรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” นั้น มันจะมีที่มาจาก “รัฐบาลอิสราเอล” นั่นแหละเป็นหลัก หรือเป็นความเกลียด ความโกรธ ที่แม้ไม่ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์ใดๆ ต่อประเทศอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับส่งผลให้พันธมิตรของอเมริกาอย่างอิสราเอลคว้าเอาไปรับประทานแบบเต็มๆ เนื้อๆ ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่การประกาศถอนตัวจาก “ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน” หรือ “JCPOA” การประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล การยกที่ราบสูงโกลันให้เป็นดินแดนในอำนาจอธิปไตยของอิสราเอล ไปจนล่าสุด...ที่ประกาศให้กองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่านเป็นองค์กรก่อการร้าย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้...แทบไม่ได้ส่งผลให้ประเทศอเมริกา หรือประชาชนชาวอเมริกันได้รับอะไรตอบแทนกลับมาเลย ตรงกันข้าม...กลับก่อให้เกิดความเกลียดชัง ความหวาดระแวง แคลงใจต่ออเมริกาแบบชนิดแทบไม่เหลือฐานะความเป็น “คนกลาง” หรือ “ตัวกลาง” ใดๆ ต่อไปอีกแล้ว...

ส่วนเหตุผลที่ทำให้รัฐบาล “United State of America” ต้องกลายสภาพไปเป็นรัฐบาล “United State of Israel” นั้น ก็แล้วแต่จะว่ากันไป จะด้วยเหตุเพราะที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว อย่าง “นายจอห์น โบลตัน” นั้น เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่ารักชาติอิสราเอลยิ่งกว่าชาติอเมริกามาโดยตลอด หรือเป็นเพราะลูกเขยของประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “นายจาเร็ด คุชเนอร์” เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิวแบบทั้งแท่ง ทั้งด้ามหรือเป็นเพราะผู้บริจาคเงินรายใหญ่จำนวนถึง 20 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย ให้กับการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีของ “ทรัมป์บ้า” ก็คือนักธุรกิจกาสิโนชาวยิว อย่าง “นายเชลดอน อเดลสัน” (Sheldon G. Adelson) ฯลฯ อันนั้น...คงต้องไปวิเคราะห์ สังเคราะห์ ไปหารายละเอียดกันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...การแสดงออกถึงความจงเกลียด จงชัง ต่อรัฐบาลอิหร่านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หรืออย่างชนิดกะจะเอาให้ “เจ๊ง” ให้จงได้ ให้รายได้การส่งออกน้ำมันอิหร่านต้อง “เหลือศูนย์” อะไรประมาณนั้น อันนี้นี่แหละ...ที่มันกำลังก่อให้เกิด “ปฏิกิริยาตอบโต้” ในแบบสวิงไป-สวิงมา ยิ่งกว่าการขึ้นๆ-ลงๆ ของราคาน้ำมัน ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

เพราะรัฐบาลปฏิวัติอิสลามของอิหร่านนั้น...ก็คงต้องยอมรับว่า คงไม่ใช่รัฐบาลประเภทพับเพียบ เรียบร้อย หรือประเภทนายแสนดี วจีไพเราะ ไปในทุกเรื่อง ทุกราว แต่เป็นรัฐบาลที่มี “แรงสปริง” ซุกซ่อนเอาไว้ในขดลวดชนิดมากมายมหาศาล ระดับต้องใช้เวลานับเป็นทศวรรษๆ ถึงค่อยๆ ลดอาการ “สุดโต่ง” จนก่อให้เกิด “ฝ่ายปฏิรูป” ประเภท “มุสลิมสายกลาง” โผล่ขึ้นมามีบทบาท อำนาจกันแทนที่ การไล่บีบ ไล่บี้ ชนิดกะจะเอาให้ “เจ๊ง” ให้จนตรอก จนมุม ให้จงได้ มันจึงกลายเป็นการอุดหนุน ส่งเสริม ให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้แบบสุดสวิงริงโก้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ และแนวโน้มที่กำลังนำไปสู่การพูดจา หารือกันในสังคมอิหร่านทุกวันนี้ ก็คือ...ถึงเวลาแล้วหรือไม่? ที่อิหร่านจะตัดสินใจยกเลิกข้อตกลง “JCPOA” หันมาผลิตอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลยุโรปที่มีข้อตกลงกับอิหร่านในเรื่องนี้ ไม่ได้คิดแสดงออกถึงปฏิกิริยาใดๆ ต่อการ “แซงชั่นอิหร่าน” ของอเมริกา อย่างเท่าที่ควรจะเป็น หรือกระทั่งไปไกลถึงขั้นการพูดจา หารือถึง “ความเป็นไปได้” ในการอาศัยความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ของอิหร่าน ในการ “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” อันจะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันต้องหายไปจากตลาดโลก ไม่น้อยไปกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ ชนิดราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 500-1,000 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเพื่อให้โลกทั้งโลกที่ยังคงเอามือซุกหีบไว้เฉยๆ พอได้รู้สึก รู้สาขึ้นมาบ้างว่า “แตะอิหร่านเมื่อไหร่...โลกแตกแน่” อะไรประมาณนั้น???


กำลังโหลดความคิดเห็น