วันนี้เห็นทีคงเลี่ยงไม่พ้น...ต้องร่อนไปแถวๆ ประเทศที่อยู่ไม่ไกลไปจากบ้านเราสักเท่าไหร่จะเรียกว่าบ้านใกล้-เรือนเคียง หรือบ้านพี่-เมืองน้อง ก็ย่อมได้ โดยเฉพาะถ้าย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ ศาสนา นั่นก็คือประเทศศรีลังกา ที่เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (21 เม.ย.) ต้องเจอกับโศกนาฏกรรมอันสุดแสนสยดสยอง จากฝีมือของพวกผู้ก่อการร้ายที่สุดเหี้ยม สุดอำมหิต วางระเบิดโบสถต์คริสต์ในกรุงโคลัมโบไป 3 แห่ง โรงแรมอีก 3 แห่ง และเกสต์เฮาส์อีก 2 แห่ง รวมเป็น 8 แห่งในช่วงเวลาใกล้ๆกัน เล่นเอาประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตายไปรวดเดียวกว่า 200 ราย บาดเจ็บอีกเกือบครึ่งพัน...
คือถึงต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ จะยังไม่ได้รับการเปิดเผยรายละเอียดอะไรมากมายนักจากทางการศรีลังกา แม้จะมีการจับผู้ต้องสงสัยเอาไว้ถึง 8 รายด้วยกัน แต่ยังไงๆ...ก็คงหนีไม่พ้นฝีมือของพวกที่จัดอยู่ในประเภท “กลุ่มก่อการร้ายทางศาสนา” (terrorist attack by religious group) อย่างที่รัฐมนตรีกลาโหมศรีลังกา “นายRuwanWijewardene” ท่านออกมาอธิบายเอาไว้นั่นแหละ เพราะนอกจากโดยเป้าหมายที่มุ่งโจมตี เล่นงานสถานที่ประกอบการทางศาสนาอย่างโบสถ์คริสต์ทั้งหลายแล้ว โดย “การข่าว” ก่อนหน้านั้น...ที่ว่ากันว่าหัวหน้าตำรวจศรีลังกา (Pujuth Jayasundara) ท่านได้แจ้งเตือนว่าอาจมีการก่อการร้ายด้วย “ระเบิดพลีชีพ” ในศรีลังกา ก่อนล่วงหน้าจะเกิดเหตุการณ์ระเบิดคราวนี้ถึง 10 วันด้วยกัน ก็ระบุถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายทางศาสนา หรือพวก “มุสลิมหัวรุนแรง” อย่างกลุ่ม “National ThowheethJama’ath” (NTJ) อันเป็นกลุ่มที่ย่อยแยกแตกกระจายมาจากพวก “ไอซิส” (ISIS) ในซีเรียและอิรักนั่นเอง...
และอันที่จริงแล้ว...ไม่ใช่แค่การรู้ล่วงหน้าประมาณไม่กี่สิบวันเท่านั้น อาจต้องเรียกว่าไม่รู้กี่สิบเดือน หรืออาจใกล้ๆ ถึงสิบปีเอาเลยก็ว่าได้ ที่ทางการศรีลังกาเขาขนลุก ขนตั้ง ตั้งหน้าตั้งตาคอยระแวดระวังพิษภัยจากพวกผู้ก่อการร้ายที่มีเส้นสายโยงใยกับพวก “ไอซิส” มาโดยตลอด ยิ่งในช่วงหลังๆ...ยิ่งมี “สิ่งบอกเหตุ” หลายต่อหลายกรณีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมนักศึกษาชาวศรีลังกาแต่ถือพาสปอร์ตออสเตรเลีย ผู้มีชื่อว่า “นายMohamed Kamer Nilan Nizamdeen” หลานชายอดีตรัฐมนตรีศรีลังกา และหลานอดีตประธานธนาคารซีลอนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งหน่วยงาน “CID” (Criminal Investigate Department) ของศรีลังกา ระบุว่าเป็นหนึ่งใน 50 รายชื่อของชาวศรีลังกาที่มีสัมพันธ์โยงใยกับพวกไอซิส การทลายค่ายฝึกและคลังอาวุธของพวกไอซิสในศรีลังกา เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ที่นอกจากจะพบอาวุธร้ายแรง ยังพบระเบิด C-4 ที่ตระเตรียมเอาไว้ระเบิดศาสนสถานชาวพุทธในเมือง Anuradhapura หลังจากที่เคยระเบิดมาแล้วหลายครั้ง พร้อมคำสารภาพของผู้ที่ถูกจับกุมว่าบรรดาอาวุธเหล่านี้ ได้รับมาจากพวกไอซิสในตะวันออกกลาง ฯลฯ ฯลฯ....
ที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...ศรีลังกานั้นได้กลายเป็น “สะพานเชื่อม” ที่สำคัญเอามากๆ ระหว่างผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลางและเอเชียใต้กับผู้ก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือตั้งแต่ซีเรีย อิรัก อัฟกานิสถาน ปากีสถาน ผ่านอินเดีย ศรีลังกา ข้ามมายังบังกลาเทศ ก่อนทะลุออกไปทางรัฐยะไข่ในพม่า มาจนถึงไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ตามลำดับ ใครที่เคยได้อ่านข้อเขียน บทความเรื่อง “Islamic State Training camp bust in Sri Lanka” ของผู้ใช้นามว่า “Shwe Kalaung” ที่เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ “Blitz magazine” เมื่อช่วงวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งได้อ้างรายงานของหน่วยงานทางทหารศรีลังกา ที่ส่งไปถึงประธานาธิบดี “Maithripala Sirisena” เมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2015 อาจหนีไม่พ้นต้องขนลุก ขนตั้ง ไม่น้อยไปกว่าชาวศรีลังกาช่วงนี้เอาเลยก็ไม่แน่ เพราะแทบไม่ต่างไปจากการส่ง “สัญญาณ” ว่า พวกผู้ก่อการร้ายประเภทสุดเหี้ยม สุดอำมหิตเหล่านี้ได้ดอดเข้ามาหน้าบ้าน หลังบ้านเราทั้งหลาย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จะ “บึ้มม์ม์ม์” กันเมื่อไหร่ ตอนไหนเท่านั้นเอง...
คือโดยสรุปคร่าวๆ ประมาณว่า...นับตั้งแต่พวก “มุสลิมหัวรุนแรง” ในรัฐยะไข่ของพม่า หรือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “Arakan Rohingya Salvation Army” หรือ “ARSA” ได้เริ่มสร้างกลุ่มก้อนขบวนการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 โดยได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านแนวคิด เงินทุนจากนักบวชนิกายซุนหนี่ ชาวซาอุดีอาระเบียผู้มีชื่อว่า “Ata Ullah” บรรดา “ลัทธิความเชื่อ” แบบประหลาดๆ เช่น เชื่อว่าโลกทั้งโลกจะต้องถูกยึดครองโดยมุสลิมภายในศตวรรษที่ 21 อย่างไม่พึงต้องสงสัย ก็ได้เริ่มแพร่ระบาดอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการไปในหมู่บรรดาชาวมุสลิมพร้อมๆ กับสิ่งที่น่าจะขัดแย้งกับความเป็น “ศาสนิกชน” เอามากๆ นั่นก็คือระบาดของ “ยาเสพติด” ไม่ว่าจะเป็นประเภท “Methamphetamines” หรือ “ยาบ้า” ไปยันถึง “เฮโรอีน” โน่นเลย โดยอาศัยพื้นที่แหล่งผลิตไม่ว่าในพื้นที่ประเทศอัฟกานิสถาน หรือแหล่งผลิตในแถบชายแดนพม่า-บังกลาเทศ เป็นตัวแพร่กระจายทั้งยาเสพติดและความเชื่อประหลาดๆ ไปยังบรรดากลุ่มก้อน ขบวนการ ตั้งแต่ตะวันออกกลางไปยันถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันมีบังกลาเทศกับศรีลังกานั่นเอง เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ เชื่อมโยงกันไป-กันมา...
เผอิญว่าในศรีลังกานั้น...ได้มี “มหาโจร” รายหนึ่ง ผู้มีนามกรว่า “Makandure Madush” ซึ่งเคยก่อคดีโจมตีรถนักโทษระหว่างกำลังไปขึ้นศาลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2017 เพื่อล้างแค้นคู่อริเคยสั่งปล้นร้านเพชรในเมือง Matara เมื่อปี ค.ศ. 2018 โดยฆ่าตำรวจตายไป 2 ศพแต่ด้วยเหตุที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “ขุนศึก” ผู้ควบคุมการผลิตเฮโรอีนในอัฟกานิสถาน และผู้ผลิต “ยาบ้า” ในรัฐยะไข่ แถมยังมีความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ อิทธิพล ทางการเมืองในกลุ่มประเทศอ่าว หรือในซาอุฯ ยูเออี ฯลฯ “นายMadush” รายที่ว่านี้ จึงไม่เพียงแต่มีสถานะเป็น “เจ้าพ่อมาเฟีย” เท่านั้น แต่ยังมีสถานะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังบรรดาพวก “มุสลิมหัวรุนแรง” ในศรีลังกา หรือเป็นทั้งเอเยนต์รายสำคัญของพวก “ไอซิส” ไปพร้อมๆ กับเป็นเอเยนต์ค้าขาย ขนส่ง “ยาเสพติด” ควบคู่ไปด้วย โดยไม่ว่าทางการศรีลังกาจะตามไล่เช็ด ไล่บี้กันในแบบไหน อย่างไร ก็ยากส์ส์ส์ที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ ด้วยเหตุเพราะหลังก่อคดีปล้นเพชร มหาโจรรายนี้ก็ได้หนีไปซุกหัวอยู่ที่ “ดูไบ” แบบเดียวกับมหาโจรบ้านเรานั่นแล...
ข้อเขียน บทความ ของ “นายShwe Kalung” ที่ว่านี้ จะมีมูล-ไม่มีมูล มาก-น้อยขนาดไหน อันนี้คงต้องไปตรอง ไปพิจารณากันเอาเอง แต่คงต้องยอมรับว่า...ภาพแห่งความเหี้ยมโหดอำมหิตผิดมนุษย์มนา ของผู้ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “ผู้ก่อการร้ายทางศาสนา” ซึ่งอุบัติขึ้นในประเทศศรีลังกาคราวนี้ ทำให้อดไม่ได้ที่ต้องย้อนคิดไปถึงความเหี้ยมโหดอำมหิตของผู้ก่อการร้ายใน 4 จังหวัดภาคใต้ของบ้านเรา คือมันแทบจะถอดแบบออกมาแบบชนิด “พิมพ์เดียวกัน” เอาเลยก็ว่าได้ และถ้าหากภาพเหล่านี้มันเกิดมีความเชื่อมโยงกันแบบเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาแล้วล่ะก็ ระเบิดศรีลังกาคราวนี้...ก็แทบไม่ต่างไปจากการ “เคาะประตูบ้าน” ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของเรา ไปด้วยในตัว...