xs
xsm
sm
md
lg

รัสเซีย...กับเศรษฐกิจพอเพียง

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

นายDmitry Patrushev รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของรัสเซีย
เจอกับข่าวประเภทร้ายๆ ลบๆ กันมาเยอะแล้ว...ปิดฉากสัปดาห์นี้ เลยขออนุญาตไปว่าในเรื่องที่ออกจะเป็นไปในทางบวก หรือทางที่น่าจะนำมาใช้เป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์สอนใจ โดยเฉพาะสำหรับบรรดา “ทวยไทย” ของหมู่เฮาทั้งหลายได้เป็นอย่างดี แม้สิ่งที่ออกไปทางบวกๆ หรือออกไปทางสร้างสรรค์ที่ว่า มันจะไปโผล่อยู่แถวๆ ดินแดนหมีขาว หรือแถวๆ ประเทศรัสเซีย ของคุณน้า “ปูติน” ท่านโน่นเลย...

คืออาจด้วยเหตุเพราะช่วงวันพุธ (17 เม.ย.) ที่ผ่านมา...เหลือบไปเห็นข่าวที่รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของรัสเซีย ผู้มีนามกรว่า “นายดมิตรี พาทรูชอฟ” (Dmitry Patrushev) ท่านได้ออกมาป่าวประกาศด้วยลักษณะอาการที่ออกจะตื่นเต้น ยินดี เอามากๆ ประมาณว่า...อีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ ประเทศรัสเซียที่เต็มไปด้วยหิมะระดับแทบจะชั่วนาตาปี ปลูกอะไรก็แทบปลูกไม่ขึ้นมาโดยตลอด กำลังจะกลายเป็น “ผู้นำการส่งออกสินค้าสินค้าเกษตร” หรือ “ผลิตภัณฑ์อาหาร” ชนิดไม่น้อยหน้าไปกว่า 1 ใน 10 ของประเทศผู้ส่งออกสินค้าประเภทนี้ในระดับโลกเอาเลยถึงขั้นนั้น...

ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี, ธัญญพืช, ผัก-ผลไม้, ปลา, เนื้อ, นม, มันฝรั่ง, น้ำมันพืช, น้ำตาล ฯลฯ ที่ประเทศรัสเซียเมื่อยุคอดีต มีแต่ต้อง “สั่งเข้า...กับ...สั่งเข้า” มาโดยตลอด โดยต้องเอาเงินรายได้ที่ได้จากการ “ส่งออก” สินค้าวัตถุดิบต่างๆ ไม่ว่าตั้งแต่เหล็ก, ถ่านหิน, ไม้ซุง ไปจนน้ำมันและก๊าซ ฯลฯ ไปแลกมา แต่นับจากนี้...ไม่เพียงชาวรัสเซียจะพอมีกิน มีใช้ บรรดาสินค้าอาหารต่างๆ เหล่านี้โดยไม่จำเป็นต้องสั่งเข้าอีกต่อไป แต่ยังถึงขั้นเหลือกิน เหลือใช้ พอที่จะส่งออกไปทำรายได้แทนที่สินค้าประเภทวัตถุดิบต่างๆ ไม่ว่าน้ำมันหรือแก๊ส หรือแม้แต่สินค้าประเภท S-300, S-400 ฯลฯ ที่ใครต่อใครต่างรุมตอมรัสเซียอยู่ในทุกวันนี้...

ข่าวที่ว่านี้...ต้องเรียกว่าเป็นข่าวที่ “ไม่ธรรมดา” เอาเลยทีเดียว เพราะถือเป็นตัวสะท้อนถึง “การเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร” ภายในประเทศรัสเซีย ซึ่งเคยตกอยู่ในสภาพที่นักคิด นักเขียน ชื่อดังชาวอังกฤษอย่าง “นายทิม มาร์แชล” (Tim Marshall) แกใช้คำเรียกว่า “นักโทษทางภูมิศาสตร์” หรือ “Prisoners of Geography” ตามชื่อหนังสือขายดีที่แกได้เขียนและเผยแพร่เอาไว้เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว คือแม้จะเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวาง ใหญ่โตกว่าใครในโลก แต่เกือบ 75 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศ โดยเฉพาะแถบภาคกลางและภาคตะวันออก แทบไม่มีชาวรัสเซียรายใดคิดจะไปอยู่ ไปอาศัยเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของชาวรัสเซีย ล้วนกระจุกตัวอยู่แถวๆ ด้านที่อยู่ติดกับยุโรป มีแค่ประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่กระจัดกระจายแบบหะรอมหะแรม เลยเข้าไปในแถบไซบีเรีย หรือมองโกเลียโน่นเลย อันเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งครอบคลุมไปทั่ว 65 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ ปลูกอะไรก็ปลูกแทบไม่ได้ แถมดินยังแข็งยิ่งกว่าหัวไอ้โจรอีกต่างหาก...

ภายใต้สภาพทางภูมิศาสตร์ หรือการต้องตกเป็น “นักโทษทางภูมิศาสตร์” เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้ชาวรัสเซียตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหา หรือพระเจ้า “รูลิคมหาราช” ยังใส่กางเกงหูรูด ไปจนยุคราชวงศ์ “โรมานอฟ” หรือแม้แต่ยุคที่รัสเซียได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์กลายมาเป็นคอมมิวนิสต์ ในนาม “สหภาพโซเวียตรัสเซีย” ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า “เลนิน” “สตาลิน” “ครุสชอฟ” “กอร์บาชอฟ” ฯลฯ ต่างเพียรพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่ถึงกับ “เวิร์ค” อะไรมากมาย แม้จะใช้อำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์บังคับให้ชาวไร่ ชาวนา เพิ่มผลผลิตได้พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ต่อเนื่อง ยั่งยืน แถมยังกลายเป็นเงื่อนไขแห่งการปฏิวัติไปซะอีก หรือจะใช้อำนาจแบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ อย่างมาก...ก็ได้แต่บังคับให้ผู้คนโยกย้าย อพยพไปอยู่ในพื้นที่ที่สุดแสนจะยากลำบาก แบบไม่ค่อยเต็มอก เต็มใจ สักเท่าไหร่ แม้จะก่อให้เกิดเมืองเล็กๆ ในแถบภาคกลางและภาคตะวันออก ที่มีจำนวนประชากรประมาณ 100,000-300,000 คน แต่ประชากรเหล่านั้นกลับกลายเป็นภาระที่รัฐบาลจะต้องคอยอุ้มชู ดูแล ไม่ว่าตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค ไปจนการเดินทางไป-มา ที่ไม่สะดวกสบายเอาเลยแม้แต่น้อย...

ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้ “ระบบเศรษฐกิจรัสเซีย” ต้องเป็นไปในแนวเดียวกันมาโดยตลอด คือต้องหันไปขายสินค้าวัตถุดิบต่างๆ ตั้งแต่เหล็ก ถ่านหิน ไม้ซุง ไปจนถึงน้ำมันและแก๊ส เพื่อเอาเงินมาซื้อสินค้าอาหารตั้งแต่ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ขนมปัง ฯลฯ ไปจนสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่แม้รัสเซียจะผลิตเองได้ แต่ก็ออกจะเป็นอะไรที่ “เชยซ์ซ์ซ์”เพราะปราศจากการแข่งขันในด้านคุณภาพ อันเนื่องมาจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการคมนาคม ขนส่ง และการลงทุนนั่นเอง ดังนั้น...ภายใต้ระบบเศรษฐกิจเช่นนี้นี่เอง ที่ว่ากันว่าได้กลายเป็น “เหตุปัจจัย” ให้เกิดการปฏิวัติ ไปจนการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และแม้กลายมาเป็นประเทศรัสเซียเฉยๆ โดยหันไปหา “เศรษฐกิจแบบตลาด” เพิ่มขึ้นๆ แต่กลับยิ่งส่งผลให้เกิดการ “สั่งเข้า” สินค้าอาหาร สินค้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ โดยต้องเอารายได้จากการ “ส่งออก” สินค้าวัตถุดิบ อย่างน้ำมันและแก๊ส ไปแลกเอามาอยู่เช่นเดิม อันนำไปสู่ภาวะวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจรัสเซีย ช่วงปี ค.ศ. 1997, 2008 และ 2014 โดยเฉพาะเมื่อราคาน้ำมันเกิดอาการหัวทิ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ เงินรูเบิลก็พลอยหัวตำไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธได้...

แต่ด้วยเหตุเพราะผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” เคยมีโอกาสมาพบปะ เจอะเจอกับ “กษัตริย์ไทย” อย่างล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ ๙ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ ในช่วงปี ค.ศ. 2009 รัฐบาลรัสเซียจึงได้ตัดสินใจกำหนดแผนยุทธศาสตร์ที่เรียกกันว่า “Russia’s National Security Strategy to 2020” โดยวางเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจรัสเซีย ให้กลายไปเป็น “เศรษฐกิจพึ่งตนเอง” หรือ “เศรษฐกิจพอเพียง” (Self-Sufficiency) ด้วยการกำหนดเป้าให้กับการผลิตทางการเกษตรแบบยั่งยืนให้ลุล่วงภายในปี ค.ศ. 2020 ให้จงได้ ไม่ว่าการผลิตธัญญพืชและมันฝรั่งที่จะต้องสามารถสนองความต้องการของภายในประเทศให้ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ให้ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาล, น้ำมันพืช และปลา ต้องไม่น้อยไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการภายในประเทศ ฯลฯ แม้ออกจะเป็นเป้าหมายที่ยากส์ส์ส์จะเป็นไปได้ แต่ด้วยการนำเอาความรู้ใหม่ๆ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางการเกษตรจากใครก็แล้วแต่ ไปปรับสภาพพื้นดินที่แข็งเป็นหัวไอ้โจร ให้กลายเป็นดินดี หรือดินที่พอเพาะ พอปลูกได้...

อีกทั้งยังประกอบด้วย “โชคช่วย” เพราะหลังการ “ผนวกไครเมีย” เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในปี ค.ศ. 2014 การแซงชั่นรัสเซียโดยคุณพ่ออเมริกาและตะวันตก ทำให้รัสเซียต้องหันไปตอบโต้ด้วยการห้ามนำเข้าสินค้าอาหารจากยุโรป ผลผลิตสินค้าอาหารในรัสเซียที่อาศัยความรู้ใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นตัวเสริม เลยมีราคาพุ่งพรวดๆ พราดๆ สร้างความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ให้กับชาวนา ชาวไร่รัสเซีย ที่ไม่เพียงชาวรัสเซียด้วยกันเองหันมาซื้อสินค้าเกษตรที่ผลิตขึ้นในรัสเซียเท่านั้น การอ่อนค่าของเงินรูเบิล ยังทำให้สินค้าเหล่านี้มีโอกาสเจาะตลาด ตีตลาด ตั้งแต่แอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง เอเชีย ฯลฯ ชนิดเป้าหมายต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์แห่งความพอเพียง การพึ่งตนเอง สามารถบรรลุได้หมดภายในปี ค.ศ. 2015 โดยยังไม่ทันถึงปี ค.ศ. 2020 ด้วยซ้ำ แถมทำท่าว่ากำลังทำให้รัสเซีย กลายเป็น “ผู้นำการส่งออกสินค้าการเกษตร” ระดับโลกในเร็วๆ นี้อีกต่างหาก อานุภาพของ “เศรษฐกิจพอเพียง” นั้นยิ่งใหญ่ เกรียงไกรถึงปานไหน บรรดา “ทวยไทย” ทั้งหลาย ที่อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแบบ “ใกล้เกลือกินด่าง” คงต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านกันเอาเอง แต่ทุกวันนี้...ด้วยแนวคิดพึ่งตนเองของเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่านี้นี่แหละ ได้กลายเป็นตัวปลดปล่อยประเทศรัสเซีย จากการเป็น “นักโทษทางภูมิศาสตร์” ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว...


กำลังโหลดความคิดเห็น