xs
xsm
sm
md
lg

ตั้งรัฐบาลไม่ง่าย“ปชป.”เล่นแง่ งัดการ์ด“ดร.ซุป”แลกร่วม“พปชร.” “ทักษิณ”ปั้น“ทายาทอสูร”สู้ขาดใจ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

รายงาน

ตั้งรัฐบาลไม่ง่าย“ปชป.”เล่นแง่
งัดการ์ด“ดร.ซุป”แลกร่วม“พปชร.”
“ทักษิณ”ปั้น“ทายาทอสูร”สู้ขาดใจ

“บนดิน” เงียบสงัด หลบงานมหามงคล แต่ “ใต้ดิน” ยังคงขับเคลื่อน สำหรับการช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาลของ 2 ขั้วการเมือง ที่มี “พรรคพลังประชารัฐ” เจ้าของคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตอันดับหนึ่ง เป็นแกนนำ กับ“พรรคเพื่อไทย” หัวตารางด้านจำนวนส.ส.เป็นแกนนำ
“หน้าฉาก” ต่างบอกว่าจะรอเวลาให้ถึงวันที่ 9 พ.ค. เดดไลน์วันรับรองส.ส.ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสียก่อน จึงค่อยว่ากันต่อว่า จะมีพรรคไหนบ้างเป็นพันธมิตรร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่หากปล่อยไปถึงตอนนั้นแล้วค่อยไปรวบรวมระดมพลเพื่อทำให้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง และประกาศจัดตั้งรัฐบาล ก็อาจจะไม่ทันการณ์
อย่างน้อยฝ่ายพรรคเพื่อไทย ก็ชิงจัดอีเวนต์ “ตีกิน” ลงสัตยาบันกับ 6 พรรคการเมือง เคลมจำนวนที่นั่งส.ส.255 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรไปล่วงหน้าแล้ว จึงเป็นเหตุให้ “หลังฉาก” ไม่นิ่งอย่างที่เห็น เพราะหากยังนิ่งคงเสร็จอีกฝ่ายแน่นอน
แม้ว่า พรรคเพื่อไทย จะขยับก่อน แต่ในทางการเมือง “เป็นที่รู้กัน” ว่าพรรคพลังประชารัฐ ดูจะ“ถือไพ่เหนือกว่า” ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของ กกต. ที่แนวโน้มจะลดปริมาณส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ลง ทำให้เสียงที่ 6 พรรค ซึ่งร่วมลงสัตยาบัน ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาชาติ พรรคเพื่อชาติ รวมถึงพรรคเศรษฐกิจใหม่ ของ “ลุงมิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่ไม่มาร่วมแถลงนอกจากยืนยันจุดยืน มีปริมาณเสียงอาจจะลดฮวบไปถึง 10 ที่นั่ง รวมแล้วไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
ตัวแปรสำคัญอย่าง “ค่ายสีน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทย แม้จะยังไม่มีการประกาศว่าจะร่วมรัฐบาลกับใคร แต่แสดงอาการออกเรื่อยๆ โดยเฉพาะคำประกาศของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นจุดแข็งของพรรคพลังประชารัฐ และจุดอ่อนของอีกฝั่ง
นอกจากนี้ ในวันเกิดของพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา ภาพการเจอหน้ากันระหว่าง “เสี่ยหนู” และ “เฮียสน” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ดูจะหวานหยาดเยิ้ม ประหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณออกมาภายนอกว่า ทั้ง 2 พรรคได้หมั้นหมายกันแล้ว เหลือเพียงเข้าประตูวิวาห์เท่านั้น
ยิ่งย้อนภาพความอลังการ เมื่อครั้ง“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ที่วันนี้มีอีกสถานะ เป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ เพียงหนึ่งเดียวของพรรคพลังประชารัฐ ไปลงพื้นที่ “เมืองหลวงภูมิใจไทย” จ.บุรีรัมย์ เมื่อเดือนพฤษภาคมปีกลาย ก็น่าจะเป็น “คำตอบสุดท้าย”
ย้อนไปเมื่อครั้ง 6 พรรคนำ โดยพรรคเพื่อไทย ร่วมลงสัตยาบัน โดยใช้คะแนนดิบประกาศว่า ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” มีคะแนนเกินกึ่งหนึ่งแล้ว แต่“เสี่ยหนู” กลับนิ่งอยู่ในที่ตั้ง ทั้งที่มีข้อเสนอถึงขั้นประเคนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ ซึ่งเป็นความฝันสูงสุดของ เจ้าพ่อซิโน – ไทย
ที่สำคัญ แม้ “เสี่ยหนู” จะเป็นหัวหน้าพรรค แต่ผู้มีอำนาจตัวจริงคือชายชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งคนอย่างเจ้าของฉายา “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ” ย่อมถอดรหัสการเมืองออกว่า ควรจะอยู่ฝ่ายไหน ที่ยืนยาว
ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ ว่าที่ ส.ส.ส่วนใหญ่ ที่ได้รับเลือกตั้ง ล้วนเป็นสาย “กำนันเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่แสดงความกระสัน ขอร่วมเป็น “นั่งร้าน” ให้ “ลุงตู่” และพรรคพลังประชารัฐมาก่อนใครเพื่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีความชอบธรรมประเด็นที่ “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่สนับสนุน “ลุงตู่” จนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ “พรรคสีฟ้า” ตกต่ำสุดขีดในประวัติศาสตร์
แต่ที่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่สามารถการันตีได้ เพราะมีปัญหาภายในพรรค ตอนนี้ถูกแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจนระหว่าง “สายนายหัว” ภายใต้ปีก ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และอดีตนายกฯ 2 สมัย กับ “สายสุเทพ” ทำให้การร่วมหอลงโรงของพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงไม่ราบรื่น
ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาใหญ่พอสมควร สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ เพราะถ้าไม่ได้ประชาธิปัตย์แบบยกพวง หรือ 52 เสียง จะสะดุดตั้งแต่ต้น ทำให้ปริมาณเสียงไม่เพียงพอตอนโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
การจัดตั้งรัฐบาลจะมีปัญหา ตอนนี้จึงพยายามเจรจากันอย่างหนัก เพราะถ้าได้ “สายสุเทพ” มาในฐานะ “งูเห่า” อย่างเดียว แล้ว “ก๊กนายหัวชวน” ไปเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” จะทำให้เกิดเดดล็อกทางการเมืองได้ เพราะทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ ไม่สามารถรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง
ทางเดียวที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ตบเท้าเข้ามาแบบหมดพรรคตอนนี้แบบโดยดี คือ นายกฯ ต้องไม่ใช่ชื่อ “บิ๊กตู่” ตามคิวที่มีการปล่อยข่าวออกมาว่า มีข้อเสนอให้เปิด “ก๊อกสอง” เรียกหา “นายกฯคนกลาง” โดยมีชื่อของ “ดร.ซุป” ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์กรการค้าโลก (WTO) และอดีตและเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ที่พื้นเพเป็น “คนค่ายสะตอ” โผล่มาอีกครั้ง
เป็นข่าวจากฟากฝั่งของพรรคประชาธิปัตย์เอง โดยเฉพาขั้ว“นายหัวชวน” ที่โยนก้อนหินก้อนนี้มา เพื่อเป็นข้อเสนอ ในการจับมือกันตั้งรัฐบาล และดูเหมือน “ป๋าป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง จะหวั่นไหวพอสมควร ด้วย “ดร.ซุป” เป็นหนึ่งในทีมกุนซือหลังม่านที่ “บิ๊กคสช.” เรียกใช้เป็นประจำ โดยปัจจุบัน “ศุภชัย” ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่แต่งตั้งโดยคสช.อยู่ด้วย
แต่มันอาจเป็นเพียงความต้องการ ที่ยังไม่รู้ว่าจะได้รับการตอบสนองหรือไม่ เพราะในมุม“บิ๊กตู่” เองคงไม่แฮปปี้ หากจะถูกเขี่ยทิ้งกลางทาง
ขณะเดียวกัน มีประชาชนไม่น้อยที่เลือกพรรคพลังประชารัฐ หรือเปลี่ยนใจจากพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นพรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องการให้ “บิ๊กตู่” อยู่บริหารประเทศต่อ การเลือก“ตาอยู่” มาคว้าพุงปลาไปกิน ย่อมสร้างความไม่พอใจแน่
เช่นเดียวกับคนในพรรคพลังประชารัฐ ที่คงไม่ยอมให้พรรคประชาธิปัตย์ ปาดหน้าเค้กคว้าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปครอง นั่นเพราะพรรคพลังประชารัฐ มีคะแนนมากที่สุดในประเทศ คว้าส.ส.ได้ถึง 116 ที่นั่ง มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ครึ่งต่อครึ่ง
“ดร.ซุป” ไม่ได้ร่วมลงมือลงแรง แต่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง แม้ภาพลักษณ์จะดี แต่ความป๊อปปูล่า ยังไม่ถึง หากจะมาโดยวิธีนี้ ดังนั้น มันจึงเป็นเพียงสูตรที่พรรคประชาธิปัตย์ อยากให้เป็น แต่ไม่ใช่ว่ามันเป็นข้อเสนอบนโต๊ะเจรจาแล้ว
บทสรุปของพรรคประชาธิปัตย์ เห็นจะต้องขึ้นอยู่กับ“นายหัวชวน” เพียงคนเดียว ในนาทีนี้ หากจะให้มาร่วมกันแบบยกพรรค ซึ่งอาจต้องใช้ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” อย่างที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ เปรียบเปรยว่า จะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จได้
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์” อาจเป็นสิ่งที่ “นายหัวชวน” มิอาจปฏิเสธได้ แม้จะเต็มใจ หรือไม่เต็มใจก็ตาม ซึ่งต้องรอดูสัญญาณ ณ ขณะนี้นายกรัฐมนตรีที่ต้องการ ยังชื่อ “ประยุทธ์” อยู่หรือไม่
ยกเว้นแผนเปลี่ยน ไม่ใช่ “บิ๊กตู่” นั่นอาจทำให้เงื่อนไขเปลี่ยนแปลงไป แต่ ณ นาทีนี้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ ตอนนี้จึงเหลือเพียงปัญหาภายในของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคพลังท้องถิ่นไท และพรรคเล็กพรรคน้อย เรียบร้อยไปหมดแล้ว
ท่ามกลางเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า พรรคพลังประชารัฐ ใช้จอมยุทธ์ไร้ร่องรอยอย่าง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ว่าที่ ส.ส.พะเยา และประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือ ของพรรคพลังประชารัฐ ผู้มีสายสัมพันธ์พิเศษกับบิ๊กกองทัพ และผู้มากบารมีในรัฐบาล เดินสายรวบพรรคเล็กพรรคน้อย ให้มาสยบยอมอยู่ในแจกันของพรรคพลังประชารัฐ เรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่า ทุกอย่างต้องจบให้เร็วที่สุด เพราะพลันที่ กกต.ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 9 พ.ค. พรรคพลังประชารัฐ หมายมั่นปั้นมือจะประกาศจัดตั้งรัฐบาลแบบยิ่งใหญ่ในทันที เพื่อสร้างความชอบธรรม
ขณะที่ความเคลื่อนไหวอีกขั้ว นำโดย พรรคเพื่อไทย ภายหลังเห็นการคำนวณสูตร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ของกกต.แล้ว พวกเขารู้ว่า คะแนนในการจัดตั้งรัฐบาลที่ก่อนหน้านี้มั่นใจว่าถึงแม้จะปริ่มน้ำ เป็นเรื่องที่ยากยิ่งแล้ว
โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลริบหรี่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะจำนวน ส.ส.ของอนาคตใหม่ที่ลดลง ไหนจะรู้ชะตากรรมว่าจะมี ส.ส.งูเห่า ย้ายขั้วเปลี่ยนข้างเพื่อแลกกับผลประโยชน์ก้อนโต นั่นยิ่งทำให้ พวกเขาไม่มีเสียงที่ถึงพอจะแข่งขันได้
ไหนจะ ใบเหลือง ใบแดง ที่อ่านเกมกันว่า กกต.จะต้องจัดให้พวกเขาอย่างแน่นอน เพื่อบอนไซ และตัดกำลัง รวมไปถึงอาการแทรกซ้อนของบรรดาพรรคแนวร่วมที่ไม่สู้ดี ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และ “อาจารย์ป๊อก” ปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่กำลังเป็น “มวยเมาหมัด” จากการจู่โจมปม “กรงกรรม” ของอีกฝั่ง
ทำให้ช่วงนี้ประเด็นที่พรรคเพื่อไทย นำมาต่อสู้คือ การประจาน แฉ การทำหน้าที่ของ กกต. เพื่อลดความชอบธรรม ให้การเลือกตั้งดูสกปรกที่สุด เพื่อหวังจะไปจุดเดดล็อก จนนำไปสู่การเจรจา
ด้วยปริมาณที่พรรคพลังประชารัฐก็ยังไม่เพียงพอ ต่อให้ได้พรรคประชาธิปัตย์ หรืองูเห่าไปร่วมด้วย ซึ่งถือว่าปริ่มน้ำ การตีรวนของพรรคเพื่อไทย ย่อมมีผลให้สถานการณ์การเมืองร้อนฉ่า
พรรคเพื่อไทย พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับพรรคอนาคตใหม่ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเรื่องที่ นายธนาธร ถูกตรวจสอบเรื่องการถือครองหุ้น รวมไปถึงการถูกดำเนินคดีตาม มาตรา 116 ที่ค้างเก่ามาตั้งแต่ปี 2558
การเร้าสถานการณ์ให้ไปสู่จุดตึงเครียด สุ่มเสี่ยงจะเผชิญหน้า ที่แม้ที่สุดพวกเขาอาจไม่ได้ชัยชนะ แต่อย่างน้อยก็ทำให้แผนการสืบทอดอำนาจของ “ลุงตู่” ยากขึ้น
พรรคเพื่อไทย ไม่มีอะไรจะเสียนอกจากทำให้พวกเขายังมีแต้มต่อในการกดดัน จะเห็นว่า “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็สู้สุดใจ หวังแตกหัก เพื่อไปสู่จุดที่ต้องเจรจากัน เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ไม่แพ้พ่ายแบบราบคาบชนิดปิดเทอมยาว
มันเป็นการเดิมพันที่สูง เพราะถ้าครั้งนี้พรรคเพื่อไทยแพ้ และพรรคพลังประชารัฐตั้งรัฐบาลสำเร็จ คนที่เกมโอเวอร์แท้จริงคือชายชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
“ทักษิณ” เหมือนคนเลือดขึ้นหน้า เพราะรู้ว่า นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว และถ้าตัวเองแพ้ ศัตรูจะไม่มีวันให้เขาทำอะไรได้อีก และนั่นหมายถึงผลกระทบต่อคนในครอบครัวเขาด้วย
“นายห้างดูไบ” รู้ว่า ทำไม “บิ๊กตู่” ถึงต้องการอยู่ต่ออีก 4 ปี ตาม “แผนระยะสั้น” หรือหนักข้อต่อเนื่อง 2 สมัย โดยมี “พรรคส.ว.” ที่มี 250 เสียง พร้อมโหวตให้ในห้วง 5 ปีหลังจากนี้ เพราะคำนวณมาแล้วว่า นั่นเป็นระยะเวลาที่เพียงพอในการลบชื่อของ“ทักษิณ” ออกจากการเมืองไทย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
หรือตาม“แผนระยะยาว” ใช้กลไกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ลากไปได้ 20 ปี ก็ไม่ยากที่จะถึงขั้นลบชื่อ “ตระกูลชินวัตร” ให้สาบสูญไปจากประวัติศาสตร์การเมือง
ยังโชคดีที่ว่า ประเทศไทยได้พักเบรกเข้าสู่งานมหามงคล ไม่เช่นนั้นเขาคงเดินเกมรุกหนัก โดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เหมือนกับที่ “บิ๊กกบ” พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้เหตุผลในการถอดรางวัล “จักรดาว”
แต่“ทักษิณ” ไม่สามารถทำได้โดยลำพัง แต่กำลังใช้กระแสร้อนแรงของ “ธนาธร” หรือที่มีสมญา “ไพร่หมื่นล้าน” ตอนนี้ในการฉวยโอกาสเข้าไปผสมโรง โดยสนับสนุนทางอ้อม ทำให้หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กลายเป็น “ทักษิณ 2” เป็นผู้นำที่สามารถเรียกแขก เป็น “ขวัญใจมหาชน” เหมือนที่ตัวเองเคยเป็น
ยิ่งคนออกมาห้อมล้อม “ธนาธร” มากเท่าใด คนออกมาปกป้องทายาทตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ มากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ประโยชน์ในฐานะมีศัตรูคนเดียวกันคือ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
นี่จึงเป็นเหตุว่า ทำไมอีกฟากฝั่งจึงพยายามเล่นงาน “ทายาทไทยซัมมิท” เพราะรู้ว่า นี่คือ “ตัวร้ายคนใหม่” หรือ “ทายาทอสูร” ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ“ทักษิณ”
ดังนั้น ก่อนที่ “ธนาธร” จะป๊อปปูล่าเลยเถิดไปกว่านี้ จึงต้องตัดกำลัง หรือทางที่ดีคือ กำจัดทิ้ง เพราะรู้ว่า “ทักษิณ” กำลังจะใช้ประโยชน์ตรงนี้เพื่อสู้ต่อ
ท่ามกลางการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ อีกทาง ก็ต้องบอนไซไม่ให้ “ธนาธร” ดูน่ากลัวไปกว่านี้ เพราะการปราบ“ทักษิณ” ตลอดหลายปีมานี้จะหมดค่าทันที ถ้ามีวายร้ายตัวใหม่ขึ้นมาแทน นามว่า “ธนาธร”
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ฝ่ายความมั่นคงดำเนินคดี และหาทางเล่นงาน “ไพร่หมื่นล้าน” ทุกวิถีทาง เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
เขี่ย “ธนาธร” ไปได้ อุณหภูมิก็อาจเบาลง ค่อยๆ ซาไปเอง รวมถึงความง่ายในการจัดตั้งรัฐบาล.

รูป- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
-ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์
-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
-ทักษิณ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น