“ซาคา” “ไซเธียน” หรือ “อะซูเคนัซ” ที่เคยร่อนเร่พเนจรอยู่แถวๆ ดินแดนฝั่งตะวันออกของประเทศอิหร่าน ไปจนถึงตอนใต้ของประเทศรัสเซียโน่นเลย เอาไป-เอามาแล้ว...ก็น่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกับผู้ที่เคยก่อตั้ง “อาณาจักรที่สาบสูญ” ขึ้นมาในแถบเอเชียกลางหรือยูเรเชีย ในช่วงระหว่างที่ “อาณาจักรชาวคริสต์” กับ “อาณาจักรอิสลาม” กำลังเผชิญหน้าและพยายามแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลเข้ามาในดินแดนแถบนี้เมื่อนับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว นั่นก็คืออาณาจักรที่ถูกเรียกขานกันในนาม “อะซูเคนัซ” (Asukenaz) หรือ “อัสคานิยา” (Askaniya) หรืออาณาจักร “คาซาร์” (Khazar-Khazaria-Khazar Khaganet) นั่นเอง...
ด้วยแรงกด แรงบีบของอาณาจักรชาวคริสต์และชาวอิสลาม ที่ล้อมกรอบ ล้อมรอบอาณาจักร “คาซาร์” อยู่ตรงกลาง หวังจะให้อาณาจักรแห่งนี้ต้องเลือกฝ่าย เลือกข้าง ว่าจะเป็นฝ่ายไหนกันแน่ แม้ว่าบรรดาชาวคาซาร์ทั้งหลายจะประกอบไปด้วยชนเผ่าต่างๆ ชนิดร้อยพ่อ พันแม่ แต่ผู้นำของอาณาจักรแห่งนี้ ผู้มีนามว่ากษัตริย์ “บูลาน” (Bulan) ก็ได้หาทางออก ทางรอด ให้กับผู้คนในอาณาจักรของตัวเองได้อย่างลื่นไหลเอามากๆ ถ้าว่ากันตาม “จดหมายเหตุ” ที่นักประวัติศาสตร์ชาวยิว อย่าง “โจซีฟัส” เขียนไปบอกเล่ากับแรบไบชาวยิวในประเทศสเปน เมื่อช่วงปี ค.ศ. 950-960 อันปรากฏเป็นหลักทางประวัติศาสตร์ ที่เรียกขานกันนาม “Khazar Correspondence” จนตราบเท่าทุกวันนี้ การหาทางออกของ “กษัตริย์บูลาน” จึงเป็นไปในแนวนี้ นั่นก็คือ...
“หลังจากรับฟังการโต้เถียงของบรรดาคณะทูต ปราชญ์คริสเตียนและอิสลาม ที่พยายามเกลี้ยกล่อมให้พระองค์หันมานับถือศาสนาของตนอย่างกระหาย ท้ายที่สุด...พระองค์ได้ตรัสกับเขาว่า พวกท่านจงกลับไปก่อน และอีก 3 วันจงกลับมาหาข้าอีกครั้ง ในวันที่ 3 พระองค์ได้เรียกนักปราชญ์ทั้งสองฝ่ายเข้าไปโต้เถียงกันว่าศาสนาใดดีที่สุด จนเมื่อพวกเขาได้โต้เถียงกันพอสมควรแล้ว พระองค์ได้หันไปถามปราชญ์ชาวคริสต์ว่า ท่านคิดว่าระหว่างศาสนาอิสลามกับศาสนายิว ท่านพอจะยอมรับศาสนาใดได้มากกว่ากัน พระชาวคริสต์จึงตอบว่า...ศาสนายิวยังดีกว่าศาสนาอิสลาม จากนั้นพระองค์ได้หันไปถามปราชญ์ชาวอิสลามว่า ระหว่างศาสนาคริสต์กับศาสนายิวท่านให้ความยอมรับศาสนาใดมากกว่ากัน ปราชญ์อิสลามตอบว่า ศาสนายิวยังน่าจะได้รับการยอมรับมากกว่า ด้วยเหตุนี้...กษัตริย์จึงตรัสขึ้นว่า ถ้าหากเป็นดังที่ท่านทั้งสองต่างให้ความยอมรับว่าศาสนายิวย่อมดีกว่าศาสนาหนึ่งศาสนาใด เราจึงขอเลือกที่จะนับถือศาสนายูดาห์ และถ้าหากพระเจ้าในศาสนานี้ ท่านพร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่ข้า พระองค์ย่อมประทานสิ่งต่างๆ โดยข้าไม่จำเป็นต้องรับเอาทองคำ หรือเงิน ซึ่งพวกท่านสัญญาว่าจะมอบให้ ดังนั้น...ท่านจงกลับไปยังดินแดนของท่านโดยความมีสันติเถิด...”
หรือนับจากนั้นเป็นต้นมา...อาณาจักรแห่งนี้ ก็ได้กลายเป็น “อาณาจักรของชาวยิว” หรืออาณาจักรที่ถูกปกครองโดยผู้นับถือศาสนายูดาห์มาโดยตลอด ตราบจนเมื่ออาณาจักรทั้งอาณาจักรต้องล่มสลายโดยมิอาจฟื้นกลับคืนขึ้นมาอีกได้เลย ด้วยการโจมตี บดขยี้ โดยกองทัพชาวรัสเซียภายใต้การนำของ “สเวียโตสลาฟที่ 1 แห่งเคียฟ” (Sviatoslav 1 of Kiev) เมื่อช่วงปี ค.ศ. 960 บรรดาชาวคาซาร์ที่ต้องแยกย้ายกระจัดกระจาย ทิ้งบ้าน ทิ้งเมือง เผ่นหนีไปอยู่แถวๆ ยุโรปตะวันออกไปจนถึงยุโรปตะวันตกกันเป็นสายๆ จึงยังคงเรียกขานตัวเองว่า “อัชเคนาซี ยิว” (Ashkenazi Jews) หรือชาวยิวที่ต้องแยกย้าย กระจัดกระจายจากอาณาจักรที่สาบสูญ อย่างอาณาจักรคาซาร์นั่นเอง...
ส่วนที่ดันถูกโยงมาเกี่ยวกับอังกฤษและอเมริกา...ก็เพราะทั้งสองประเทศนี้ ต้องถือเป็นดินแดน หรืออาณาจักรที่บรรดาพวก “อัชเคนาซี ยิว” ต่างเข้าไปมีบทบาท อิทธิพล ชนิดสามารถหันขวา-หันซ้ายมาได้โดยตลอด ในอังกฤษนั้น...ตั้งแต่สมัยยุคจอมเผด็จการอย่าง “โอลิเวอร์ ครอมเวลล์” (Oliver Cromwell) เป็นต้นมา ที่พยายามหาทางแข่งขันทางการค้ากับพวกดัตช์ จนต้องไปเชื้อเชิญ ไปขอแรงชาวยิวที่เคยถูกเนรเทศออกจากเกาะอังกฤษ กลับมาช่วยฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ การค้า ธุรกิจ จนทำให้ลูกหลานชาวอัชเคนาซี ยิว ผู้มีนามกรว่า “นาธาน รอธไชลด์” (Nathan Mayer Rothschild) ที่ผงาดขึ้นมาเป็น “ผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อังกฤษ” และเป็นเจ้าของธนาคารแห่งกรุงลอนดอน (Bank of England) ถึงกับเคยเอ่ยคำพูดที่สามารถนำมาอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน นั่นก็คือคำพูดประโยคที่ว่า... “ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจนักว่า ใคร? ที่จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ของจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินแห่งนี้ เพราะผู้ที่สามารถควบคุมจักรวรรดิแห่งนี้ได้อย่างแท้จริง ก็คือผู้ที่ควบคุมระบบการเงินของประเทศนี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว...ผู้ที่ควบคุมระบบที่ว่านี้ ก็คือตัวข้าพเจ้าเอง...”
ยิ่งเป็นอเมริกา...ยิ่งแล้วใหญ่!!! เรียกได้ว่า...นับตั้งแต่ประเทศอเมริกาได้ถือกำเนิดขึ้นมาในวันที่ 4 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1776 แม้ว่าในช่วงระหว่างนั้น ชาวยิวรวมทั้งอัชเคนาซี ยิว ที่อพยพมายังอเมริกา จะเป็นเพียงแค่คนกลุ่มเล็กๆ มีจำนวนไม่ถึง 3,000 คน หรือแค่ 0.08 เปอร์เซ็นต์ของประชากรอเมริกันทั้งหมด แต่กลับเป็นกลุ่มที่รัฐบาลอเมริกันนับตั้งแต่คณะแรก ไม่อาจมองข้ามความสำคัญได้เลยแม้แต่น้อย เรียกว่า...ระดับประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา คือ “จอร์จ วอชิงตัน” ยังถึงกับต้องทำหนังสือไปสรรเสริญ เยินยอ แสดงความขอบคุณต่อ “นักการเงิน” ชาวยิวรายหนึ่ง ผู้มีนามว่า “ไฮม์ โซโลมอน” (Haym Salomon) ด้วยถ้อยคำ สำนวนที่แสดงออกถึงบทบาท อิทธิพลของชาวยิวในอเมริกาตั้งแต่ประเทศอเมริกายังคงเป็น “วุ้น” เช่น คำพูดประโยคที่ว่า “ด้วยความกรุณาของลูกหลานอับราฮัม (ยิว) ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ชาวอเมริกันทุกคนจึงสามารถอยู่รอดปลอดภัย ภายใต้ร่มเงาแห่งเสรีภาพโดยปราศจากความกลัว...”
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าตั้งแต่ “สงครามเพื่ออิสรภาพ” ของชาวอเมริกัน “สงครามกลางเมือง” ระหว่างชาวอเมริกันฝ่ายเหนือ-ฝ่ายใต้ด้วยกันเอง ไปจนถึง “สงครามโลกครั้งที่ 1-ครั้งที่ 2” ที่ชาวอเมริกันถูกดึงเข้าไปร่วมด้วย ล้วนแล้วแต่ต้องเกี่ยวข้อง โยงใยกับบทบาท อิทธิพลของชาวยิว หรือ “นักธุรกิจ-นักการเงินชาวยิว” ในอเมริกาไปด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะหลังจากที่ฝ่ายเหนือเอาชนะฝ่ายใต้ โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างมี “นักการเงินชาวยิว” หนุนหลังไปด้วยกันทั้งคู่ ประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “อับราฮัม ลินคอล์น” ถึงกับต้องสารภาพเอาไว้ก่อนตาย หรือก่อนหน้าการถูกลอบสังหารเพียงแค่ไม่กี่วัน ด้วยถ้อยคำที่ถูกบันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ที่ว่า... “บรรษัทธุรกิจได้ครองประเทศไปแล้ว ศักราชแห่งการโกงกินในระดับสูงสุดจะตามมา โดยอาศัยความหลงผิดของประชาชน อำนาจเงินจะมีบทบาทเหนือทุกสิ่งทุกอย่างไปอีกนาน จนเมื่อความมั่งคั่งถูกรวบรวมเอาไว้ในมือกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น และแล้ว...สาธารณรัฐก็จะถูกทำลายลงไปในท้ายที่สุด...”
จากยุค “ลินคอล์น” มาจนถึงยุค “ทรัมป์บ้า”...จึงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมายนัก ที่บรรดานักคิด นักวิชาการ นักวิเคราะห์ทางการเมือง-เศรษฐกิจ แม้แต่ในประเทศอเมริกาเอง ถึงได้เปลี่ยนคำเรียกประเทศตัวเองจากคำว่า “United State of America” กลายมาเป็น “United State of Israel” กันในช่วงนี้ หรือช่วงรัฐบาลอเมริกาไปจนถึงรัฐบาลอังกฤษ กำลังถูกบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่มีนักธุรกิจ นักการเงินชาวยิวเป็นผู้ควบคุมดูแล แปรสภาพให้กลายเป็น “โกก” และ “มาโกก” ยิ่งเข้าไปทุกที...