พอถึงช่วง “สงกรานต์” ที...ผู้ที่มีหน้าที่ (กรรม) ที่จะต้องขีดๆ เขียนๆ เรื่องราวต่างๆ ให้กับสื่อหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ หรือประเภทที่เรียกว่า “คอลัมนิสต์” ทั้งหลายอะไรประมาณนั้น ก็ดูจะต้อง “สาดเหงื่อต่างน้ำ” ไปตามๆ กัน คือต้องเร่งปั่นต้นฉบับเอาไว้ล่วงหน้าประมาณ 3 ตอน 4 ตอนก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพื่อให้สอดคล้อง รองรับ การปิด-การเปิดสำนักงานของสื่อแต่ละฉบับ ซึ่งออกจะเป็นอะไรที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเอามากๆ...
อีกทั้งจะไปหยิบอะไรเอามาเป็นประเด็น เป็นเรื่องที่สามารถพูดจาว่ากล่าวกันได้แบบวันต่อวัน ก็ยิ่งน่าปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งขึ้นไปใหญ่ แต่ทำไงได้...ในเมื่อมันเป็น “หน้าที่” หรือเป็น “กรรม” ก็แล้วแต่จะเรียก ตั้งแต่วันจันทร์ (15 เม.ย.) ไปจนถึงวันพุธ (17 เม.ย.) เลยคงต้องขออนุญาตว่ากันแบบ “มินิซีรีส์” ด้วยการไปนำเอาเรื่องราวระดับตำนานปรัมปราที่เคยมีการพูด การนำมาเล่าสู่กันฟัง ไม่ว่าในรูปของคำทำนาย คำพยากรณ์ หรือความเชื่อในทางส่วนรวม-ส่วนตัว ชนิดนับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว หรือไม่น่าจะต่ำกว่า 2,000 ปีเป็นอย่างน้อย แต่มาถึงทุกวันนี้...ก็ยังถูกพูดหยิบเอามาพูด มาวิเคราะห์ ตีความ เอามาแปลความหมายกันไปแบบคนละทาง-สองทาง นั่นก็คือเรื่องของดินแดน หรืออาณาจักร 2 แห่ง ที่ถูกกล่าวขานเอาไว้ในคำทำนาย คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ คัมภีร์ตาลมุดของฮิบรู คัมภีร์อัล-กุรอ่านของอิสลาม หรือแม้แต่คัมภีร์พระเวทของฮินดู ในฐานะดินแดน หรืออาณาจักรที่จะมีบทบาทในการ “ล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้ง 4 ทิศของแผ่นดินโลก” ให้ออกมาทำสงครามกับกองทัพพระผู้เป็นเจ้า หรือกองทัพแห่งความดีงาม จนกลายเป็น “สงครามครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ” อะไรทำนองนั้น...
ซึ่งมันอาจสอดคล้อง หรือพอไปด้วยกันได้กับข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโลกในช่วงนี้ โลกที่การแบ่งข้าง-แบ่งฝ่าย ออกจะเป็นอะไรที่ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที โลกที่คุณพ่อ “อเมริกา” ท่านยังไม่คิดลด-ละ-เลิกความปรารถนา ความต้องการที่จะเป็นจ้าวโลก เป็นประมุขโลก (Hegemony) ยิ่งถ้าหากมีอดีตจ้าวอาณานิคมอย่าง “อังกฤษ” ที่กำลังคิดแยกตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู ไม่ว่าในแบบ “No deal Brexit” หรือไม่ “No-deal” ก็แล้วแต่ เข้ามายืนหยัดเคียงข้างด้วยแล้ว การควบคุมดูแล ปกครองโลกทั้งโลก ตามแบบที่พวก “คนขาวคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด” (White Supremacy) ได้เคยคิด เคยฝันกันมานาน ตั้งแต่สมัยที่อภิมหาพ่อค้าชาวอังกฤษ อย่าง “นายเซซิล จอห์น โรดส์” (Cecil John Rhodes) ผู้อาศัยอำนาจอิทธิพลการผูกขาดเพชรและทองคำ ยึดดินแดนในอัฟริกาเอามาก่อตั้งประเทศ “โรดิเซีย” ตามชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองซะเฉยเลย แกเคยหวังและอยากที่จะเห็น “รัฐบาลโลก” ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยบรรดาชาว “แองโกล-อเมริกัน” ทั้งหลายมานานแล้ว นั่นแล...
การผนึกรวมกำลังของประเทศอย่าง “อังกฤษ” และ “อเมริกา” ที่อาจปรากฏตัวภายในอนาคตเบื้องหน้า จะนำไปสู่การอุบัติขึ้นมาของ “รัฐบาลโลก” ตามความฝัน ความปรารถนา ตามแนวคิด อุดมการณ์ อุดมคติ ของ “นายเซซิล จอห์น โรดส์” และพรรคพวกหรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่ที่น่าสะกิดใจเอามากๆ ก็คือมันชวนให้หวนกลับไปคิดถึงดินแดนหรืออาณาจักร 2 แห่ง ที่ถูกเรียกขาน กล่าวขานไว้ในคัมภีร์ทางศาสนาของชาวคริสต์ อิสลาม ฮิบรู ฮินดู ว่าเป็นดินแดน หรืออาณาจักรที่จะมีบทบาทในการ “ล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้ง 4 ทิศของแผ่นดินโลก” ให้ออกมาทำสงครามครั้งสุดท้ายกับกองทัพของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมามิได้ เพราะชื่อเสียงเรียงนาม ที่คัมภีร์แต่ละคัมภีร์ใช้เป็นคำเรียกขานถึงดินแดนทั้ง 2 มันออกจะพ้องเสียง พ้องคำกับดินแดนอย่างอังกฤษและอเมริกามิใช่น้อย นั่นก็คือดินแดนที่ถูกเรียกว่า “โกก” (Gog) กับ “มาโกก” (Magog) ที่แม้ว่าบางคัมภีร์อย่างคัมภีร์ของชาวฮินดู อาจออกเสียงแตกต่างกันไปบ้าง คือเรียกว่า “โคคา” (Koka) กับ “วิโคคา” (Vikoka) กันแทนที่ แต่โดยเนื้อหาสาระโดยรายละเอียด คงไม่ได้ผิดแผก แตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ คือยังมีฐานะเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า ผู้ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับความถูกต้องดีงาม หรือผู้ที่จะลุกขึ้นมาจุดชนวน “สงครามครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ” นั่นเอง...
การไปหยิบเอาเรื่องความเชื่อตามตำนานปรัมปรา คำทำนาย คำพยากรณ์เหล่านี้...มานั่งขบคิดกันเล่นๆ ในช่วงวันสงกรานต์เลยอาจพอช่วยให้หายร้อน หรือหายบ้าขึ้นมาได้มั่ง เพราะถึงแม้อาจไม่ได้มี “เหตุผลทางวิทยาศาสตร์” ใดๆ รองรับอยู่เลย แต่ขนาด “ความเชื่อ” เรื่อง “นางสงกรานต์” บ้านเรา ว่ารายไหนโหด-ไม่โหด รายไหนเสด็จมาพร้อมกับทรงพระขรรค์ พระแสงของ้าว ไปจนถึงทรงปืน ฯลฯ กินเลือด กินเนื้อเป็นภักษาหาร หรือกินอะไรอย่างอื่น ฯลฯ ยังถูกนำมาแปลความ ตีความกันจนทั้งร้อน ทั้งบ้า ขึ้นมาจนได้ ยิ่งช่วงระหว่างนี้...บรรดาความร้อน ความบ้าในบ้านเรา มันออกจะเป็นอะไรที่ “ซิลลี่” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือกลายเป็นเรื่อง “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ” ทั้งๆ ที่ต่างก็มาจาก “หีบเลือกตั้งใบเดียวกัน” แท้ๆ หรือเลเพ ลาดพาด ไปเป็นเรื่องระหว่าง “เด็ก” กับ “ผู้ใหญ่” ระหว่าง “กะปอม” กับ “ไดโนเสาร์” ฯลฯ อะไรประมาณนั้น สู้หันมานั่งแปลความ ตีความในเรื่องใหญ่ๆ ระดับ “โกก” กับ “มาโกก” จึงเป็นอะไรที่น่าจะเข้าท่ากว่ากันเยอะเลย...
และสำหรับการแปลความ ตีความ การค้นหาคำตอบว่า “โกก” กับ “มาโกก” นั้นคือใคร? หรือคืออะไรกันแน่? ว่าไปแล้วบรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือบรรดาพวกนักประวัติศาสตร์ และโดยเฉพาะนักการศาสนาทั้งหลาย ไม่ว่าคริสต์ อิสลาม ฮิบรู ฮินดู ท่านก็ช่วยแปลความ ตีความแบบชนิดอุตลุด ชุลมุนวุ่นวาย แต่ก็พอให้แนวๆ ที่อาจเป็นประโยชน์อยู่บ้าง เช่น นักการศาสนาชาวยิว และชาวคริสต์ ที่ดูจะเน้นน้ำหนักของคำว่า “โกก” และ “มาโกก” ออกไปทางเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ซะเป็นหลัก โดยมองย้อนกลับไปถึงบรรพบุรุษของบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย หลังจากยุค “น้ำท่วมโลก” หรือยุคของ “โนอาห์” (Noah) ที่ได้มีทายาทสืบเชื้อสายอยู่เป็นจำนวนเยอะแยะมากมาย และหนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือผู้ที่สืบเชื้อสายผ่านมาทางลูกหลานโนอาห์ ผู้ที่มีชื่อว่า “ยาเฟท” (Japhet) ที่ได้ออกลูกออกหลานต่อมา โดยมีชื่อว่า “โกเมอร์” (Gomer) “มาโกก” (Magog) และ“อะซูเคนัซ” (Asukenaz) ตามลำดับนั่นเอง...
บรรดาผู้ที่สืบเชื้อสายผ่านมาทางบรรพบุรุษเหล่านี้นี่แหละ...ที่พวกนักประวัติศาสตร์ นักวิชาการด้านศาสนา ชาวคริสต์ ชาวยิว ชาวอิสลาม ไม่ว่า “โจเซฟัส” (Josephus) ไปจนถึง “อิมรอน ฮุสเซน” (Imran Nazar Hosein) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “An Islam View of Gog and Magog in the Modern World” หรือ “ทัศนะของอิสลามต่อเรื่องโกกและมาโกกในโลกยุคใหม่” ท่านคิดว่าน่าจะเป็นผู้ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “โกก”และ “มาโกก” ในคัมภีร์ศาสนาแต่ละฉบับ และเท่าที่ค้นไป-ค้นมา สืบไป-สืบมา บรรดาพวกลูกๆ หลานๆ ที่สืบเชื้อสายต่อมาจากยาเฟท, โกเมอร์, มาโกก และอัชเคนัซ ก็คือบรรดาผู้ที่ตุหรัดตุเหร่ร่อนเร่อยู่แถวๆ พื้นที่แถบตะวันออกของประเทศอิหร่านตั้งแต่ยุคโบร่ำโบราณ หรือพวกที่ชาวอัสซีเรียยุคแรกๆ เรียกขานกันในนาม “อะซูเคนัซ” (Asukenaz) ถูกชาวอิหร่านโบราณเรียกขานว่า “ซาคา” (Saka) อันเป็นพวกเดียวกับที่ชาวกรีกโบราณเรียกขานว่า “ไซเธียน” (Scythians) นั่นเอง แต่มันจะมาเกี่ยวกับ “อังกฤษ” และ “อเมริกา”กันในแบบไหน อย่างไร อันนี้...ก็ได้เวลาต้อง “ลากต่อ” ไปจนถึงวันอังคาร วันพุธ กันจนได้นั่นแหละทั่น...