xs
xsm
sm
md
lg

มืดมามืดไป : พรรคเพื่อไทยและพลังประชารัฐ

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง


วลีที่ว่า มืดมา มืดไป เป็นคำสอนของพระเจ้าที่ว่าด้วยกฎแห่งกรรมที่ให้ผลแก่ผู้กระทำ

โดยนัยแห่งคำสอนข้างต้น หมายถึงว่าบุคคลที่เกิดมาจากแรงบันดาลแห่งอกุศลกรรม และโตขึ้นในภาวะแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเอง และครอบครัว แต่ทว่าผู้นั้นมองไม่เห็นเหตุอันเป็นที่มาของความทุกข์ จึงไม่ได้คิดแก้ไขด้วยการลด ละ และเลิกการกระทำบาปกรรมนั้นแล้วกระทำกรรมดี ทั้งยังคงกระทำอกุศลกรรมต่อไป จึงทำให้ความทุกข์เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นเมื่อวันสุดท้ายแห่งชีวิตมาถึง ก็จะไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี เนื่องจากจุติจิตเศร้าหมองด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรมนั้น

ในทำนองเดียวกันกับสองพรรคการเมือง ซึ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งคือ พรรคเพื่อไทย และอันดับสองคือ พรรคพลังประชารัฐ

แต่ทั้งสองพรรคได้พบอุปสรรคในการรวบรวมเสียง เพื่อให้มีจำนวนมากพอในการจัดตั้งรัฐบาลได้ และมีเสถียรภาพพอที่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างราบรื่น จึงตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมที่ว่ามืดมา มืดไป ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้

จากผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ถ้าพิจารณาจากจำนวน ส.ส.ที่ได้รับเลือกเข้ามา พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่ง จึงควรจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลตามธรรมเนียมทางการเมืองที่ถือปฏิบัติกันมาในอดีต แต่ถ้าถือเอาจำนวนคะแนนในการเลือกตั้งหรือป็อปปูลาร์ โหวต ตามพรรคพลังประชารัฐกล่าวอ้าง พรรคนี้ก็มีสิทธิในการเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จึงกลายเป็นความขัดแย้งเกิดขึ้นจากการชิงความเป็นแกนนำ

แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าพรรคไหนในสองพรรคนี้จะเป็นแกนนำก็ยากที่จะรวบรวมเสียงให้มากพอที่จะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ ทั้งนี้เนื่องจากว่าทั้งสองพรรคมีจุดด้อยทั้งทางสังคม และการเมืองด้วยกันทั้งคู่ จึงเข้าข่ายที่ว่ามืดมา

เริ่มด้วยพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือกำเนิดทางการเมืองจากระบอบทักษิณ และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภายใต้ร่มเงาของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องโทษในคดีอาญา และหลบหนีไปอยู่ต่างแดน จึงเป็นตราบาปที่พรรคนี้สลัดทิ้งได้ยาก และจากจุดนี้เองพรรคนี้จึงพบกับอุปสรรคในการแสวงหาการยอมรับจากประชาชน และความร่วมมือจากพรรคการเมืองในฝั่งตรงกันข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากพรรคที่ประกาศจุดยืนในการต่อต้านการทุจริต เช่น พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคแนวร่วมของประชาธิปัตย์ ซึ่งมีจุดยืนในทำนองเดียวกันนี้

แต่ถ้าบังเอิญพรรคเพื่อไทยสามารถรวบรวมเสียงได้มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็คงจะเป็นรัฐบาลที่ปริ่มน้ำอยู่ได้ยาก ประกอบกับผู้คนในสังคมในฝั่งตรงกันข้ามซึ่งเป็นกลุ่มคนหมู่มากที่ควรจะต้องดำเนินการให้เกิดผลจริงจังในทางปฏิบัติ ก่อนจะจัดให้มีการเลือกตั้ง และที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ การที่ไม่สามารถแก้ไขและป้องกันการทุจริตในภาครัฐเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่มีมาตรา 44 เป็นเครื่องมือ

ดังนั้น การที่พรรคพลังประชารัฐเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จึงกลายเป็นข้อด้อยทั้งทางสังคม และการเมือง

แต่เผอิญทางพรรคนี้สามารถรวบรวมเสียง ส.ส.และอาศัยเสียง ส.ว. 250 คนช่วยหนุน ก็จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่คงจะเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ เมื่อเทียบกับฝ่ายค้าน สุดท้ายก็คงจะยุบสภาหนีการอภิปราย จึงเข้าข่ายมืดไป

โดยสรุป ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคพลังประชารัฐได้จัดตั้งรัฐบาล จุดจบทางการเมืองในอนาคตคงไม่ต่างกันคือ มืดไปแน่นอน

สุดท้ายขอจบด้วยกลอน 2 บทต่อไปนี้

มืดมา มืดไป ใครอยากจะรู้
ให้คอยดู การกระทำ กรรมสนอง
ใครทำชั่ว ชั่วตามกัน ตามครรลอง
อย่าลำพอง ว่าตน เหนือผลกรรม

แม้วันนี้ มีคนป้อง ให้พ้นผิด
กรรมลิขิต เหนือคน ให้ผลล้ำ
เหนืออำนาจ ของคน ที่คอยชี้นำ
การกระทำ ชั่วดี มีผลจริง

กำลังโหลดความคิดเห็น