** "ภารกิจยิ่งใหญ่ย่อมต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน" คงต้องเริ่มต้นด้วยการลอกคำพูดที่คิดว่าเท่ไม่เบาเหมือนกัน หากจะกล่าวถึงสองนักการเมืองหนุ่ม จากพรรคอนาคตใหม่ที่ร้อนแรงอยู่ในเวลานี้ อย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคและ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ฝ่ายแรกก่อนที่จะมาเป็นนักการเมือง ก็เป็นทายาททุนใหญ่ ที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย ส่วนรายหลังเป็นอาจารย์หนุ่มในมหาวิทยาลัย เป็นนักเรียนนอก จบด้านกฎหมายจากฝรั่งเศส
หากพักเอาเรื่องการที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับเลือกตั้ง ได้คะแนนมาคิดคำนวณจำนวนส.ส.จำนวนมากเกินคาดเอาไว้ก่อน แม้ว่านี่คืออานิสงส์ จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่พวกเขาตั้งข้อรังเกียจ คิดฉีกทิ้งทั้งฉบับแล้วร่างใหม่ก็ตาม มาว่ากันถึงแนวโน้มตั้งแต่ปัจจุบันต่อเนื่องไปจนถึงอนาคต ว่าทั้งสองคนนี้จะมี "ชะตาชีวิต" ต่อไปอย่างไรกันบ้าง แต่รับรองว่าจะไม่มีทางเหมือนเดิมแน่นอน
เนื่องจากพวกเขากำลังเริ่มบททดสอบครั้งสำคัญแล้ว และจะว่าไปแล้ว มันก็เป็นผลจากการคำพูด และการกระทำของตัวเองที่ต่อเนื่องมาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และจะต่อเนื่องไปจนถึงอนาคตในวันข้างหน้า
แน่นอนว่า สำหรับการเป็น "ฝ่ายซ้าย" สำหรับหลายคนที่เริ่มสนใจการเมืองตั้งแต่วัยหนุ่ม สาว ตั้งแต่ยุคเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ชั้นปีที่สอง ในบางยุคในอดีตตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 ต่อเนื่องมาจนถึง 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์เข้มข้น ซ้าย-ขวา อนุรักษ์นิยม ก้าวหน้า ล้าหลัง พวกกฎุมพี ศักดินา เป็นต้น แล้วแต่จะประดิษฐ์ประดอยคำพูดให้ฟังดูแล้วมันกินใจ หรือรู้สึกเท่ มีภูมิอะไรประมาณนั้น ทั้งที่มันเป็นไปได้แค่อุดมคติเท่านั้น เพราะสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มันไม่มีอยู่จริง แต่สำหรับเด็กๆ รุ่นใหม่ ที่เพิ่งได้อ่านตำราทางรัฐศาสตร์เบื้องต้น ก็รู้สึกร้อนวิชาวูบวาบไปหมดทั้งกาย
แต่ถึงอย่างไร การตื่นตัวทางการเมือง การสนใจเรื่องความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็นเรื่องที่ดีมาก สำหรับเด็กรุ่นใหม่ เพราะพวกเขาเป็นอนาคตของชาติ ที่ต้องมารับช่วงต่อ ดีกว่าบ้าแฟชั่น บ้าแต่งตัว นิยมแบรนด์เนมไปวันๆ การตื่นตัวของบรรดานักศึกษาที่ออกมาใช้สิทธิ์การเลือกตั้งในครั้งล่าสุดนี้ เป็นจำนวนหนาตาถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีไม่น้อย
แต่สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล นาทีนี้กำลังเริ่มเข้าสู่บททดสอบอย่างสำคัญ และเข้มข้น และยังส่งผลต่ออนาคตทั้งทางการเมืองและสถานะในวันข้างหน้าอีกด้วย แต่ในเมื่อเลือกเดินในเส้นทางที่ "น่าหวาดเสียว" แบบที่เป็นมันก็ต้องยอมรับสภาพให้ได้ และต้องยอมรับความจริงให้ได้
**ที่ผ่านมา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อาจเป็น "นายทุนหนุ่ม" เป็นทายาททุนใหญ่ อาจรับรู้กันในวงแคบๆ ว่าเป็น"คนรวยที่เห็นใจคนจน" มีจุดขายแบบนี้มานาน เคยมีประวัติเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ให้ทุนสนับสนุนนิตยสาร "ฟ้าเดียวกัน" ที่วิพากษ์สังคมชนชั้น วิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์มานาน แต่ขณะเดียวกัน ก็ได้รับข้อมูลอีกด้านจาก "ใจ อึ้งภากรณ์" ลูกชายของ "ป๋วย อึ้งภากรณ์" ที่ตอกย้ำข้อมูลในเรื่องการ "กดขี่แรงงาน" ของบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของ ธนาธร มาอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นระบุว่า "เป็นนักสร้างภาพ" หรือแม้แต่เคยกันเองอย่าง "ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ถึงขั้นเคยโพสต์ว่า "น่าขยะแขยง" มาแล้ว
แต่แน่นอนว่าบทบาทในอดีตของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อาจจะแหลมคม และได้รับชื่นชมจากลกุ่มคนในกลุ่มแคบๆ มีความเป็นส่วนตัว มีฐานะนักวิจารณ์สังคม สื่อก็อาจจะติดตามสนใจบ้างเป็นครั้งเป็นคราว แต่มาถึงตอนนึ้สถานะได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาได้กลายเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว กลายเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องถูกตรวจสอบ ขุดคุ้ยทุกเม็ด ที่สำคัญในนั้นแม้จะมองว่าอาจมีการ"กลั่นแกล้งทำลาย"ปะปนไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขึ้นอยู่กับว่า เขาเป็น"ของจริง"ที่ไม่กลัวการพิสูจน์หรือไม่
เหมือนกับที่ในเวลานี้เขากำลังถูกไล่สอบ ขุดคุ้ยทั้งในเรื่องถูกดำเนิคดีอาญาตามมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต คดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เป็นต้น
แต่ที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยก็คือ กรณีการโอนหุ้นสื่อในชื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ว่าได้โอนก่อนหรือหลังวันรับสมัครส.ส.กันแน่ เพราะจากการชี้แจงของ ธนาธร มีพิรุธหลายอย่าง เช่นบอกว่าได้โอนหุ้นให้แม่ไปหมดแล้ว พร้อมทั้งบอกว่า กำลังจะปิดบริษัท แต่ล่าสุดกลับมาแจงใหม่ว่า สาเหตุที่ยังมีจำนวนผู้ถือหุ้นครบ 10 คนเหมือนเดิม เพราะแม่ได้โอนต่อให้ "หลานอีกสองคน"
อย่างไรก็ดี มันก็ยังน่าสงสัยตามมาอยู่ดีว่า ก็ไหนว่าจะปิดบริษัทแล้ว ทำไมยังต้องโอนกันไปมา ให้คนโน้นคนนี้อีกเพื่อให้ครบ 10 คน ตามเอกสารที่สำนักข่าว "อิศรา"ได้ไปขุดคุ้ยมา หรือไม่ ซึ่งในกรณีนี้ล่าสุดทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนในเรื่องนี้แล้ว
ขณะที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็กำลังมีชะตากรรมไม่แพ้กัน เพราะจากคำพูดและการเคลื่อนไหวในอดีตกำลังถูกตรวจสอบ สอบเค้นว่าเขากำลังมี"ทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์"หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก ธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ ที่ก่อนหน้านี้เคยพูดอะไรวิจารณ์ได้อย่างรุนแรง แต่ยังไม่เคยถูกเค้นแบบเอาจริงเอาจังเหมือนกับในเวลานี้ และเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีอาญาหลายคดี และในเมื่อพวกเขาเติบโตได้รับความนิยมมาจากโลกโชเชียลฯ อีกด้านหนึ่งก็กำลังกลายเป็นว่า หลักฐานทุกเม็ดที่เคยพูด เคยทำกำลังถูกบันทึก และเปิดโปงออกมาแบบละเอียดยิบเช่นเดียวกัน
**ดังนั้น หากให้สรุปอีกทีสำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล สองคู่หูแห่งอนาคตใหม่ จะมีชะตากรรมในอนาคตอย่างไรกันแน่ เพราะการพิสูจน์และการตรวจสอบอย่างละเอียดกำลังเริ่มต้นเท่านั้น !!
หากพักเอาเรื่องการที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับเลือกตั้ง ได้คะแนนมาคิดคำนวณจำนวนส.ส.จำนวนมากเกินคาดเอาไว้ก่อน แม้ว่านี่คืออานิสงส์ จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่พวกเขาตั้งข้อรังเกียจ คิดฉีกทิ้งทั้งฉบับแล้วร่างใหม่ก็ตาม มาว่ากันถึงแนวโน้มตั้งแต่ปัจจุบันต่อเนื่องไปจนถึงอนาคต ว่าทั้งสองคนนี้จะมี "ชะตาชีวิต" ต่อไปอย่างไรกันบ้าง แต่รับรองว่าจะไม่มีทางเหมือนเดิมแน่นอน
เนื่องจากพวกเขากำลังเริ่มบททดสอบครั้งสำคัญแล้ว และจะว่าไปแล้ว มันก็เป็นผลจากการคำพูด และการกระทำของตัวเองที่ต่อเนื่องมาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และจะต่อเนื่องไปจนถึงอนาคตในวันข้างหน้า
แน่นอนว่า สำหรับการเป็น "ฝ่ายซ้าย" สำหรับหลายคนที่เริ่มสนใจการเมืองตั้งแต่วัยหนุ่ม สาว ตั้งแต่ยุคเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ชั้นปีที่สอง ในบางยุคในอดีตตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 ต่อเนื่องมาจนถึง 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์เข้มข้น ซ้าย-ขวา อนุรักษ์นิยม ก้าวหน้า ล้าหลัง พวกกฎุมพี ศักดินา เป็นต้น แล้วแต่จะประดิษฐ์ประดอยคำพูดให้ฟังดูแล้วมันกินใจ หรือรู้สึกเท่ มีภูมิอะไรประมาณนั้น ทั้งที่มันเป็นไปได้แค่อุดมคติเท่านั้น เพราะสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มันไม่มีอยู่จริง แต่สำหรับเด็กๆ รุ่นใหม่ ที่เพิ่งได้อ่านตำราทางรัฐศาสตร์เบื้องต้น ก็รู้สึกร้อนวิชาวูบวาบไปหมดทั้งกาย
แต่ถึงอย่างไร การตื่นตัวทางการเมือง การสนใจเรื่องความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็นเรื่องที่ดีมาก สำหรับเด็กรุ่นใหม่ เพราะพวกเขาเป็นอนาคตของชาติ ที่ต้องมารับช่วงต่อ ดีกว่าบ้าแฟชั่น บ้าแต่งตัว นิยมแบรนด์เนมไปวันๆ การตื่นตัวของบรรดานักศึกษาที่ออกมาใช้สิทธิ์การเลือกตั้งในครั้งล่าสุดนี้ เป็นจำนวนหนาตาถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีไม่น้อย
แต่สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล นาทีนี้กำลังเริ่มเข้าสู่บททดสอบอย่างสำคัญ และเข้มข้น และยังส่งผลต่ออนาคตทั้งทางการเมืองและสถานะในวันข้างหน้าอีกด้วย แต่ในเมื่อเลือกเดินในเส้นทางที่ "น่าหวาดเสียว" แบบที่เป็นมันก็ต้องยอมรับสภาพให้ได้ และต้องยอมรับความจริงให้ได้
**ที่ผ่านมา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อาจเป็น "นายทุนหนุ่ม" เป็นทายาททุนใหญ่ อาจรับรู้กันในวงแคบๆ ว่าเป็น"คนรวยที่เห็นใจคนจน" มีจุดขายแบบนี้มานาน เคยมีประวัติเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ให้ทุนสนับสนุนนิตยสาร "ฟ้าเดียวกัน" ที่วิพากษ์สังคมชนชั้น วิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์มานาน แต่ขณะเดียวกัน ก็ได้รับข้อมูลอีกด้านจาก "ใจ อึ้งภากรณ์" ลูกชายของ "ป๋วย อึ้งภากรณ์" ที่ตอกย้ำข้อมูลในเรื่องการ "กดขี่แรงงาน" ของบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของ ธนาธร มาอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นระบุว่า "เป็นนักสร้างภาพ" หรือแม้แต่เคยกันเองอย่าง "ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ถึงขั้นเคยโพสต์ว่า "น่าขยะแขยง" มาแล้ว
แต่แน่นอนว่าบทบาทในอดีตของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อาจจะแหลมคม และได้รับชื่นชมจากลกุ่มคนในกลุ่มแคบๆ มีความเป็นส่วนตัว มีฐานะนักวิจารณ์สังคม สื่อก็อาจจะติดตามสนใจบ้างเป็นครั้งเป็นคราว แต่มาถึงตอนนึ้สถานะได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาได้กลายเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว กลายเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องถูกตรวจสอบ ขุดคุ้ยทุกเม็ด ที่สำคัญในนั้นแม้จะมองว่าอาจมีการ"กลั่นแกล้งทำลาย"ปะปนไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขึ้นอยู่กับว่า เขาเป็น"ของจริง"ที่ไม่กลัวการพิสูจน์หรือไม่
เหมือนกับที่ในเวลานี้เขากำลังถูกไล่สอบ ขุดคุ้ยทั้งในเรื่องถูกดำเนิคดีอาญาตามมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต คดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เป็นต้น
แต่ที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยก็คือ กรณีการโอนหุ้นสื่อในชื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ว่าได้โอนก่อนหรือหลังวันรับสมัครส.ส.กันแน่ เพราะจากการชี้แจงของ ธนาธร มีพิรุธหลายอย่าง เช่นบอกว่าได้โอนหุ้นให้แม่ไปหมดแล้ว พร้อมทั้งบอกว่า กำลังจะปิดบริษัท แต่ล่าสุดกลับมาแจงใหม่ว่า สาเหตุที่ยังมีจำนวนผู้ถือหุ้นครบ 10 คนเหมือนเดิม เพราะแม่ได้โอนต่อให้ "หลานอีกสองคน"
อย่างไรก็ดี มันก็ยังน่าสงสัยตามมาอยู่ดีว่า ก็ไหนว่าจะปิดบริษัทแล้ว ทำไมยังต้องโอนกันไปมา ให้คนโน้นคนนี้อีกเพื่อให้ครบ 10 คน ตามเอกสารที่สำนักข่าว "อิศรา"ได้ไปขุดคุ้ยมา หรือไม่ ซึ่งในกรณีนี้ล่าสุดทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนในเรื่องนี้แล้ว
ขณะที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็กำลังมีชะตากรรมไม่แพ้กัน เพราะจากคำพูดและการเคลื่อนไหวในอดีตกำลังถูกตรวจสอบ สอบเค้นว่าเขากำลังมี"ทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์"หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก ธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ ที่ก่อนหน้านี้เคยพูดอะไรวิจารณ์ได้อย่างรุนแรง แต่ยังไม่เคยถูกเค้นแบบเอาจริงเอาจังเหมือนกับในเวลานี้ และเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีอาญาหลายคดี และในเมื่อพวกเขาเติบโตได้รับความนิยมมาจากโลกโชเชียลฯ อีกด้านหนึ่งก็กำลังกลายเป็นว่า หลักฐานทุกเม็ดที่เคยพูด เคยทำกำลังถูกบันทึก และเปิดโปงออกมาแบบละเอียดยิบเช่นเดียวกัน
**ดังนั้น หากให้สรุปอีกทีสำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล สองคู่หูแห่งอนาคตใหม่ จะมีชะตากรรมในอนาคตอย่างไรกันแน่ เพราะการพิสูจน์และการตรวจสอบอย่างละเอียดกำลังเริ่มต้นเท่านั้น !!