วันนี้...สงสัยคงต้องร่อนไปแถวๆ ยุโรป อียู อีย้วยนั่นแหละ น่าจะเหมาะกว่า เพราะนอกจากเมื่อช่วงไม่กี่วันมานี้ พญามังกรจากเมืองจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านจะแล่นเลื้อยเข้าไปทิ้งคราบ ทิ้งไข่เอาไว้ไม่น้อย ช่วงสัปดาห์หน้าวันอังคารที่ 9 เมษายนก็ได้จังหวะเวลาการประชุมสุดยอดผู้นำจีน-อียู ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม โดยมีนายกรัฐมนตรี “หลี่ เค่อเฉียง” ของจีนบินมาเป็นประธานร่วมในการประชุม แบบชนิดที่น่าจะออกไปทางจี๋ๆ จ๋าๆ มากกว่าจะเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กันไปเรื่อยๆ...
คือเพราะจากการเดินทางไปเยือนยุโรปของผู้นำจีนเมื่อช่วงสองวันมานี้...ต้องเรียกว่า น่าจะสำเร็จอย่างงดงามและงดงอมเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ทำให้ชาติยุโรปอย่างอิตาลี ที่ถือเป็นประเทศ G7 รายแรก ซึ่งกำลังตกอยู่ในอาการกรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชรฯ ประมาณการการขยายตัวของจีดีพีในปีนี้ ไม่ว่าโดยธนาคารกลางของอิตาลีเอง หรือของ “IMF” คาดเอาไว้ว่าจะโตเพียง 0.6 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งโดยการคาดการณ์ของคณะกรรมการบริหารอียู ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ คือจะโตแค่ 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ขณะต้องแบกหนี้สาธารณะของประเทศสูงถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ หรือถึง 131 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าบุคลิก รูปร่างของ “มังกรจีน” จะน่าเกลียด น่ากลัว สักเพียงใด แต่ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตเป็นอันดับ 3 ของอียู อย่างอิตาลี ย่อมหนีไม่พ้นต้องทอดร่าง ยอมให้มังกรเลื้อยไหล พันไป-พันมา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
หรือนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงที่จะให้ความร่วมมือกับโครงการริเริ่มเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน หรือโครงการ “BRI” (Belt and Road Initiative) ที่คอลัมนิสต์ระดับโลกอย่าง “นายเปเป้ เอสโคบาร์” (Pepe Escobar) ท่านได้ใช้คำเรียกไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ได้นำมาถ่ายทอดต่อจากสำนักข่าวเอเชีย ไทมส์ ออนไลน์ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า “โครงการโลกาภิวัตน์ เวอร์ชั่น 3.0” (Globalization 3.0) อะไรประมาณนั้น พร้อมกับการเซ็นสัญญาทางการค้าระหว่างบริษัทอิตาลีกับจีน ที่น่าจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านยูโร รวมทั้งพร้อมที่จะเปิดเมืองท่าไม่น้อยกว่า 4 เมืองด้วยกันไว้ “แบรับ” การเลื้อยขึ้นฝั่งของมังกรจีนกันโดยเฉพาะ...
ส่วนฝรั่งเศสที่ถึงจะไม่หนักหนาสาหัสเท่าอิตาลี แต่ก็น่าจะ “กรอบ” ไม่ต่างไปจากกัน งานนี้...ต้องเรียกว่า “บุญหล่นใส่เท้า” จนชักหัวแม่ตีนข้างซ้าย-ข้างขวาหลบแทบไม่ทัน จะด้วยเหตุเพราะเครื่องบินโบอิ้งสัญชาติอเมริกัน (737MAX 8) ดันหล่นแล้ว หล่นเล่า หรือด้วยเหตุเพราะจุดมุ่งหมายภายในใจอันยากแท้ หยั่งถึงของจีนเองก็แล้วแต่ การเดินทางไปเยือนฝรั่งเศสของผู้นำจีนเที่ยวนี้ จึงไปพร้อมกับคำสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A-320 และ A-350 สัญชาติฝรั่งเศสและยุโรปจำนวนถึง 300 ลำ มูลค่าโดยประมาณการแล้ว น่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านยูโร หรือ 34,000 ล้านดอลลาร์ อูมฟูม อู้ฟู่ขนาดไหนก็ลองเอา 30 กว่าบาทไทยๆ ลองไปคูณดู แถมยังมีการเซ็นสัญญาระหว่างบริษัทธุรกิจฝรั่งเศสและจีน ถึง 15 รายด้วยกัน ครอบคลุมในด้านพลังงาน การขนส่งทางเรือ ฯลฯ ที่แต่ละรายมีมูลค่าระดับนับเป็นพันล้านดอลลาร์ขึ้นไป...
และนั่นเองที่อาจทำให้คำพูด คำจาของประธานาธิบดีฝรั่งเศส อย่าง “มาครง คนหนุ่ม” เลยไม่ได้ออกไปทาง “เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ” น่าเบื่อ น่ารำคาญ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา แต่หนักไปทาง “จี๋ๆ จ๋าๆ” อย่างเห็นได้ชัด เช่นที่ระบุไว้ว่า “ข้อสรุปของการตกลงซื้อเครื่องบินแอร์บัสของจีนคราวนี้ ถือเป็นย่างก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่สัญญาณแห่งความร่วมมือที่ยอดเยี่ยมในระยะต่อไป” หรือแม้แต่ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป “นายฌอง โคลด จุงเกอร์” ที่เข้าร่วมพบปะ ต้อนรับ ประธานาธิบดีจีนคราวนี้ด้วย ถึงกับสรุปว่า “อียูควรปกป้องผลประโยชน์ของตน ด้วยการใช้โอกาสจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับจีนในโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ ขณะเดียวกันจีนก็ควรพร้อมเปิดโอกาสให้ยุโรปเข้าถึงตลาดในจีนเช่นเดียวกัน” ยิ่งรายของผู้นำเยอรมนีอย่าง “นางแองเกลา แมร์เคิล” ที่ออกจะตรงไป-ตรงมา ไม่ได้คิดเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ใดๆ มาโดยตลอด ถึงกับ “ฟันธง” ลงไปแบบเต็มผืน เต็มด้ามว่า “โครงการแถบและเส้นทาง (Belt and Road) ของจีนนั้น ถือเป็นโครงการริเริ่มที่มีความสำคัญเอามากๆ ซึ่งประเทศทั้งหลายในยุโรปควรยินดีที่จะเข้าร่วม และแม้ว่ายังมีข้อโต้แย้งบางประการอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่เรา...ชาวยุโรป ก็ต้องการที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญ อันจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันและกันอย่างแท้จริง...”
ดูจากกิริยาท่าทีของบรรดาผู้นำชาติยุโรปตัวหลักๆ ไม่ว่าอิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส ที่ออกไปในแนวนี้...ก็คงสรุปได้ไม่ยากว่าแนวโน้มที่ “มังกรจีน” จะเข้าไปเลื้อยรัด พันแข้ง พันขา ยุโรปทั้งยุโรปแบบชนิดแกะยังไงก็แกะไม่ออก น่าจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แต่ก็นั่นแหละ...หลังจากที่คุณพี่จีน ท่านได้ใช้ “หมากล้อม” ค่อยๆ เลื้อย ค่อยๆ ล้อม ค่อยๆ รัด ไม่ว่าทั้งทางบก ทางทะเล ไล่มาตั้งแต่เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง เอเชียตะวันออก และแอฟริกา จนกระทั่งค่อยๆ โผล่หัวเข้าไปยังท่าเรือ “ไพเรอุส” ในประเทศกรีซ แล้วฉกประเทศยุโรปตะวันออก ยุโรปกลาง รายแล้ว รายเล่า สุดท้าย...ก็ใกล้ๆ จะงาบประเทศยุโรปตัวหลักๆ กันในแต่ละราย แต่ก็น่าจะยังเหลืออยู่แต่ประเทศอังกฤษนั่นแหละ ที่นอกจากจะมีที่ตั้งแยกออกจากแผ่นดินใหญ่ในยุโรป กองระเกะระกะ อยู่กลางทะเล หรือในมหาสมุทรแอตแลนติกแล้ว ยังเป็นประเทศที่กำลังคิดเตรียมตัวแยกตัวเองออกจากความเป็นอียู หรือออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป อันเนื่องมาจากกรณีการลงประชามติที่เรียกๆ กันว่า “เบร็กซิต” นั่นเอง...
ที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...แม้กรณี “เบร็กซิต” ของอังกฤษ จะก่อให้เกิดความสับสนชุลมุนวุ่นวายไปทั่วทั้งเกาะอังกฤษ ชนิดหาทางออก ทางไป ยังไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ภายใต้จังหวะเช่นนี้นี่เอง ที่ดูจะทำให้คุณพ่ออเมริกา ท่านเริ่มหันมาเล่น “หมากรุก” เริ่มหยิบม้า หยิบโคน ออกมาโขกโป๊กๆ สู้กับ “หมากล้อม” ของจีน แบบกระดานแทบพังกันไปข้าง โดยเฉพาะการออกมาป่าวประกาศ “ส่งสัญญาณ” คราวล่าสุด ของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายจอห์น โบลตัน” ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “รอยเตอร์” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ประมาณว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์นั้น กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ (Eager) ที่จะได้มีโอกาสยืนหยัดเคียงข้างและสนับสนุนอังกฤษ หลังจากที่อังกฤษได้ออกจากอียูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...” และ “ถึงแม้มันเป็นเรื่องซับซ้อน สำหรับภายในประเทศอังกฤษ ซึ่งผมรู้ดีว่า...ยังต้องผ่านความสับสนวุ่นวายอีกเยอะแยะ แต่ผมเชื่อว่า ประธานาธิบดีของเราต้องการที่จะให้ความมั่นใจกับบรรดาชาวอังกฤษทั้งหลาย ว่าเรากระตือรือร้นเอามากๆ ที่จะยืนรออยู่ ณ จุดๆ นั้น จุดที่ชาวอังกฤษได้แยกตัวออกจากสหภาพยุโรปเรียบร้อยแล้ว” นี่...ต้องเรียกว่า ออกอาการคล้ายๆ กับที่พวก “White Supremacy” หรือพวก “ผิวขาวใหญ่สุด” เคยกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเห็น “จักรวรรดิแองโกล-อเมริกัน” โผล่ขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ดูแลโลกทั้งโลก ตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหายังใส่กางเกงหูรูดโน่นเลย และด้วยการออกมาส่งสัญญาณเช่นนี้นี่เอง...ที่อาจส่งผลให้การแยกตัวออกจากอียูของอังกฤษ อาจเป็นไปในแบบ “No deal Brexit” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!