วันนี้...คงหนีไม่พ้นต้องขออนุญาตหันไปแสดงความเศร้าเสียใจต่อโศกนาฏกรรมที่อุบัติขึ้น ณ เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา อันเนื่องมาจาก “ไอ้บ้า” รายหนึ่ง ชื่อว่า “เบรนตัน ทาร์แรนต์” (Brenton Tarrant) ซึ่งออกจะเกลียดชาวมุสลิมแบบเข้าไส้ เข้ากระดูก และเชื่อว่าชาวผิวขาว ชาวคริสต์เท่านั้นถึงจะสุดยอด หรือเป็นพวกที่ถูกเรียกๆ กันว่า “White Supremacy” อะไรทำนองนั้น ได้สร้างเหตุการณ์ช็อกโลก ด้วยการคว้าปืนไปกราดยิงใส่ผู้คนซึ่งกำลังชุมนุมอยู่ในสุเหร่า 2 แห่ง ณ เมืองดังกล่าว ตายไปรวดเดียว 49 ศพ มีทั้งชาวปากีสถาน อินเดีย มาเลย์ อินโดฯ ตุรกี โซมาเลีย อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ แถมในจำนวนนี้ยังเป็นเด็กที่แทบไม่รู้ประสีประสาอีกต่างหาก...
คือเรื่องทำนองนี้...แม้ไม่ถึงกับต้องวิเคราะห์ สังเคราะห์อะไรมาก หรือสรุปว่าคงด้วย “ฤทธิ์บ้า” นั่นแหละเป็นหลัก แต่จากที่มีโอกาสได้ไปอ่านข้อเขียน บทความของเหยี่ยวข่าวสตรีรายหนึ่ง ชื่อว่า “คุณวิทนีย์ เวบบ์” (Whitney Webb) ซึ่งได้เขียนแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในเว็บไซต์ “MintPress News” ช่วงวันวานที่ผ่านมา โดยให้ชื่อเอาไว้ว่า “The Christchurch Shooting and the Normalization of Anti-Muslim Terrorism” หรือ “การกราดยิงที่ไครสต์เชิร์ชและกระบวนการในการทำให้การต่อต้านมุสลิมก่อการร้ายเป็นเรื่องปกติธรรมดา” อะไรประมาณนั้น ก็ต้องยอมรับว่าออกจะเป็นอะไรที่ “เข้าท่า” และเสนอแง่คิด มุมมอง ที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว จนต้องขอนำมาเล่าสู่กันฟังแบบคร่าวๆ เอาไว้ ณ ที่นี้...
คือ “คุณวิทนีย์ เวบบ์” ที่อาจถือเป็นคอลัมนิสต์เจ้าประจำของสำนักข่าว “MintPress” และ “Global Research” เป็นผู้ที่เคยได้รับรางวัลยกย่องสรรเสริญในฐานะนักหนังสือพิมพ์ผู้ยึดมั่นในคุณธรรม (Serena Shim Award for Uncompromised integrity in journalism) เธอไม่ได้มองเรื่องราวเหล่านี้เป็นแค่เฉพาะ “ความบ้า” ของไอ้ “เบรนตัน ทาร์แรนต์” แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังพยายามชี้ให้เห็นว่ามันเป็น “กระแสความรู้สึก” ที่ถูกถักทอบูรณาการมาอย่างเป็นกระบวนการ โดยบรรดาผู้มีอำนาจในรัฐบาลตะวันตก รวมทั้ง “สื่อตะวันตก” หรือ “สื่อกระแสหลัก” ทั้งหลายนั่นแหละ เป็นผู้ร่วมสร้างอารมณ์ความรู้สึกชนิดนี้ขึ้นมา จนก่อให้เกิดลักษณะอาการแบบที่เธอใช้คำเรียกว่า “Islamophobia” หรือโรคกลัวอิสลาม เกลียดมุสลิมแบบเข้าไส้ เข้ากระดูกดำ ที่ส่งผลให้ไอ้ “เบรนตัน ทาร์แรนต์” พลอยต้องติดเชื้อ ติดโรคเหล่านี้ไปด้วยอันเป็นโรคที่กำลังแพร่ระบาดไปในหมู่ชาวตะวันตก ประเทศตะวันตก หรือในหมู่พวกฝรั่งผิวขาวกันเป็นจำนวนไม่น้อย...
ทั้งๆ ที่ “ต้นเหตุของโรค” มันมีที่มาจากความกระหาย ความกระเหี้ยนกระหือรือ ของรัฐบาลตะวันตก โดยเฉพาะรัฐบาลอเมริกัน ในอันที่จะเข้าไปปล้นชิงทรัพยากร โดยเฉพาะแก๊สและน้ำมัน จากบรรดาประเทศในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้น แต่โดยหันไปอาศัยเหตุผลเรื่อง “ผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม” เป็นข้ออ้าง การเปิดฉาก “สงครามกับการก่อการร้าย” ที่อุบัติขึ้นหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมา จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ทำสงครามกับชาวมุสลิม” หรือแทบไม่ต่างไปจาก “สงครามครูเสดภาคพิสดาร” เพราะบรรดาประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลอเมริกันและตะวันตก ก็มักเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยชาวมุสลิมไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าอัฟกานิสถาน อิรักไปจนซีเรีย และอาจเลยไปถึงอิหร่านโน่นเลย...
ด้วยการบุกเข้าปล้น บุกเล่นงาน บรรดาประเทศมุสลิมเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาชาวมุสลิมทั้งหลายถูกทำให้มีบุคลิกลักษณะ ออกไปทางพวก “ผู้ก่อการร้าย” หรือพวก “หัวรุนแรง” ซะเป็นหลัก และมี “สื่อตะวันตก” หรือสื่อกระแสหลักที่ตกเป็นเครื่องมือในการสร้างอารมณ์ความรู้สึกทำนองนี้เพื่อรองรับความชอบธรรมของรัฐบาล โดยบรรดาสื่อเหล่านั้นไม่เคยคิดจะตั้งคำถามเอาเลยแม้แต่น้อย ว่าขณะที่คนขาวหรือชาวตะวันตกซึ่งถูก “ผู้ก่อการร้าย” เล่นงาน นับตัวเลขสถิติตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ไปจนถึง 2015 โน่นเลย อย่างมากก็มีจำนวนแค่ “หลักร้อย” แต่เมื่อเทียบชาวมุสลิมที่ถูกสังหาร พร่าผลาญชีวิตเพราะ “สงครามกับการก่อร้าย” ของรัฐบาลตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 8 ล้านราย แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ถูกพูดถึง เขียนถึง ไม่เคยได้รับแสดงความเห็นอก เห็นใจ หรือแม้แต่ความพยายาม “เข้าใจ” เอาเลยแม้แต่น้อย...
ยิ่งไปกว่านั้น...การที่สื่อตะวันตกหรือสื่อกระแสหลัก พยายามปิดหู ปิดตา อมสากกะเบือด้ามแล้ว ด้ามเล่า ไม่ยอมรับสภาพ “ข้อเท็จจริง” ที่ว่า บรรดาชาวมุสลิมที่ถูกจัดอยู่ในประเภท “ผู้ก่อการร้ายตัวจริง” หรือ “หัวรุนแรงจริงๆ” (radical Islam terror) โดยจำนวนไม่น้อยนั้น ล้วนได้รับการสนับสนุนไม่ว่าในทางใด ทางหนึ่ง จากรัฐบาลตะวันตกนั่นแหละเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นพวกกลุ่มก่อการร้าย “อัลกออิดะห์” (Al Qaeda) พวกไอซิส ไอเอส หรือดาเอช (Isis) ไปจนถึงพวก “Hayat Tahrir al-Sham” ที่กำลังถูกรัฐบาลซีเรีย กองทัพรัสเซียและอิหร่าน รุมเล่นงานอยู่ในจังหวัดอิดลิบ ประเทศซีเรีย จนทุกวันนี้ แต่กลับได้รับการปกป้อง คุ้มครอง จากกองทัพอเมริกันซะเฉยเลย...
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...สำหรับชาวมุสลิมบางกลุ่ม บางประเภท ที่มีแนวคิดออกไปทางรุนแรงสุดโต่งเอาจริงๆ อย่างพวกที่ถูกเรียกๆ กันว่า “ลัทธิวะฮาบีย์” (Wahhabi) ที่ชาวอิสลาม ชาวมุสลิมโดยส่วนใหญ่มักให้การปฏิเสธ แต่กลับเป็นพวกที่รัฐบาลตะวันตกหันไปให้การสนับสนุน ไม่ว่าด้านการเงิน หรืออาวุธ สิ่งเหล่านี้...กลับไม่ได้ถูกนำมาแยกแยะนำมาอธิบายโดยสื่อตะวันตกหรือสื่อกระแสหลักเอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับพยายาม “เหมารวม” ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นกระแสอารมณ์ความรู้สึก อันเป็นแหล่งที่มาของโรคระบาด “Islamophobia” ไปจนได้ ความกลัวอิสลาม เกลียดมุสลิมแบบเข้าไส้ เข้ากระดูก มันจึงแผ่ลุกลามไปทั่วทั้งโลกตะวันตก ไปจนกระทั่งกลายเป็นความกลัวพวกผู้อพยพ ที่ต้องดิ้นรนหนีตายจาก “สงครามกับการก่อการร้าย” หรือ “สงครามครูเสดภาคพิสดาร” ซึ่งบรรดารัฐบาลพวก “ฝรั่งผิวขาว” ทั้งหลาย กรูกันเข้าไปปล้น เข้าไปแย่งชิงทรัพยากรภายในดินแดนชาวอิสลามในแต่ละประเทศนั่นเอง...
ความกลัวและความเกลียดเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้พวก “ไอ้บ้า” กลุ่มเล็กๆ มันจึงยิ่งบ้าหนัก บ้าสุดขีดยิ่งขึ้นไปใหญ่ จนนำไปสู่การก่อเหตุโศกนาฏกรรมอันน่าสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง แต่ภายใต้อารมณ์ความรู้สึกทำนองนี้... “คุณวิทนีย์ เวบบ์” เธอได้ให้ข้อสังเกตไว้อย่างน่าคิด สะกิดใจ มิใช่น้อย ด้วยการสรุปว่า มันไม่ได้เป็นสิ่งซึ่งมีพื้นฐานที่มาจาก “การปะทะทางอารยธรรม” (The Clash of Civilization) อย่างที่นักคิด นักทฤษฎี บางรายเคยตั้งเป็นสมมติฐานเอาไว้เลย แต่มันเป็นกระบวนการบริหารจัดการแบบมีเหลี่ยมเล่ห์เพทุบาย หรือการยักย้ายถ่ายเทเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากความแตกต่าง (No clash of civilization-only manipulation and exploitation of differences) เท่านั้นเอง...