วันนี้...สงสัยคงต้องแวะไปแถวๆ อิสราเอลกันอีกสักรอบ เพราะช่วงอาทิตย์หน้า หรือประมาณวันที่ 21 มีนาคม ว่ากันว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “ซูเปอร์มูน” (Super Moon) หรือปรากฏการณ์ดวงจันทร์โครจรเข้ามาใกล้โลกจนเห็นได้ชัดเจน แจ่มแจ้ง ระดับใหญ่โตมหึมา เป็นครั้งที่ 3 แล้วในรอบปีนี้ คือครั้งแรกเกิดในช่วงวันที่ 21 มกราคม ครั้งที่สองช่วงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนครั้งที่สามซึ่งถือว่าใกล้โลกยิ่งกว่าครั้งใดๆ ห่างเพียงแค่ระยะประมาณ 356,836 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ชนิดต้องเรียกว่า “ซูเปอร์ฟูลมูน” เอาเลยถึงขั้นนั้น ซึ่งช่วงระยะเวลาที่ว่า ดันมาตรงกับงานเทศกาลประจำปีของชาวอิสราเอล ที่เรียกๆ กันว่า “เทศกาลปูริม” (Purim) ระหว่างวันที่ 20-21 มีนาคมนี้ แบบพอดิบ พอดี...
บรรยากาศความคึกๆ คักๆ ตื่นตา ตื่นใจ ในหมู่ชาวอิสราเอลทั้งหลาย อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ที่ว่านี้จึงถูกนำมา “โปรโมต” หรือนำมา “ไอโอ” (IO-Information Operation) กันอย่างเป็นพิเศษ มี “แรบไบ” ระดับดังๆ อย่างเช่น “โยเซฟ เบอร์เกอร์” (Rabbi Yosef Berger) ที่มีบทบาทหน้าที่ในการดูแลรักษาสถานที่ฝังศพของ “กษัตริย์ดาวิด” บรรพชนของชาวอิสราเอล และยังถือเป็นทายาทของอดีตแรบไบผู้เริ่มก่อตั้งขบวนการ “ฮาซิด” (Hasidic-Hasidism) ที่ถูกแปรสภาพให้กลายมาเป็นขบวนการ “ไซออนิสต์” (Zionist) ในทุกวันนี้นั่นเอง ได้ออกมาทำนายทายทักถึงปรากฏการณ์ที่ “ซูเปอร์ฟูลมูน” กับ “เทศกาลปูริม” มาบรรจบพบกันในคราวนี้ อย่าง “น่าขนหัวลุก” เอามากๆ...
คือไม่เพียงเปรียบเทียบความเป็นชาติอิสราเอล ว่าไม่ต่างอะไรไปจาก “ดวงจันทร์” ซึ่งมีขึ้น-มีแรม แต่ไม่เคยหายไปจากฟากฟ้า แต่ยังหยิบเอาความเชื่อ คำพยากรณ์ การตีความของแรบไบ หรือ “ผู้พยากรณ์” รุ่นก่อนๆ มาแปลความไปในทำนองว่า “ซูเปอร์ฟูลมูน” อันมาบรรจบกับ “เทศกาลปูริม” คราวนี้ ถือเป็น “สัญญาณ” สำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่า...ชัยชนะของชาวอิสราเอลต่อบรรดาศัตรูผู้ชั่วร้ายทั้งหลาย ไม่ว่าใครก็ตามแต่ จะเริ่มต้นขึ้น ณ นับตั้งแต่บัดนี้ ชนิดถือเป็นการ “เริ่มต้นการกู้คืน” เหมือนอย่างครั้งที่ชาวอิสราเอลในยุคเมื่อหลายพันปีที่แล้ว ขณะที่ยังอยู่ใต้การปกครองของจักพรรรดิเปอร์เซียผู้มีนามกรว่า “อาหสุเอรัส” (Ahasuerus) เคยสามารถล้างผลาญ ทำลาย และ “บดขยี้” บรรดาศัตรูที่ปองร้ายต่อชาวอิสราเอล ด้วยฝีมือของผู้นำชาวอิสราเอลผู้มีชื่อว่า “โมรเดคัย” (Mordecai) ที่ได้ส่งลูกสาวบุญธรรมชื่อ “นางเอสเธอร์” (Esther) เข้าไปเป็นสนมของกษัตริย์ “อาหสุเอรัส” แล้วยุยงส่งเสริมให้กษัตริย์เปอร์เซียรายนี้ อนุญาตให้ชาวยิวทั้งหลายสามารถปกป้องตัวเองด้วยการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” บรรดาศัตรูของชาวอิสราเอลนับเป็นแสนๆ ราย จนสามารถ “กู้คืน” ความยิ่งใหญ่ของชาติอิสราเอลกลับคืนมาได้อย่างมั่นคง แข็งแรง อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “เทศกาลปูริม” นั่นเอง...
การเกิดซูเปอร์มูนถึง 3 ครั้ง 3 คราในปีนี้ และการมาบรรจบพบกันระหว่างซูเปอร์ฟูลมูนครั้งที่ 3 กับเทศกาลปูริม จึงไม่เพียงถูกตีความโดย “แรบไบ โยเซฟ เบอร์เกอร์” ว่านอกจากถือเป็น “ปีแห่งการก้าวข้ามอุปสรรค” ของชาวอิสราเอลเท่านั้น ยังจะก่อให้เกิดการกู้คืน ไถ่คืน ความยิ่งใหญ่ เกรียงไกรของชาวอิสราเอลกลับคืนมา ถึงขั้นที่จะนำไปสู่ “การก่อสร้างวิหารครั้งที่ 3” ของชาวยิวในอีกไม่นาน-ไม่ช้า โดยการสนับสนุนของผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” รายนี้นี่แหละ ที่ “แรบไบ โยเซฟ” ท่านเคยระบุเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ว่าเป็นผู้ที่มี “สัญญาณ” อันแสดงให้เห็นถึงร่องรอยสายใยความผูกพันอยู่กับ “กษัตริย์ดาวิด” ในอดีต ชนิดสามารถแปลความ ตีความ ปมปริศนาต่างๆ ออกมาได้เป็นฉากๆ...
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ “ทรัมป์บ้า” เริ่มรณรงค์เลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอเมริกา ที่ดันมาตรงกับช่วงเวลาที่อดีตบรรพกษัตริย์แห่งอิสราเอล อย่าง “กษัตริย์ดาวิด” ขึ้นมาเถลิงอำนาจพอดิบ พอดี หรือการที่ “ทรัมป์บ้า” มีชื่อว่า “Donald Trump” นั้น เมื่อนำมานับคำนวณตามอักษรตัวเลขของชาวฮิบรู มีผลลัพธ์เท่ากับตัวเลข “424” อันเป็นตัวเลขเดียวกันกับ “กษัตริย์ดาวิด” ซะอีกต่างหาก ไปจนถึงการที่ “ทรัมป์บ้า” กลายมาผู้นำโลกรายแรก ที่กล้าให้การรับรองกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล อันเป็นสิ่งซึ่งไม่เคยมีผู้นำรายใดในประวัติศาสตร์เคยกระทำมาก่อน “แรบไบ โยเซฟ” ท่านเลย “ไอโอ” กันแบบเน้นๆ เนื้อๆว่า ผู้ที่ถูกเรียกขานกันในคำพยากรณ์ของแรบไบรุ่นก่อน ว่า “Descendant of Edom” หรือ “ทายาทแห่งเอโดม” ที่เชื่อๆ กันว่าจะเป็นผู้ผลักดันให้มีการสร้าง “วิหารแห่งพระเจ้าครั้งที่ 3” ขึ้นมาในอิสราเอลนั้น ก็คือ “ทรัมป์บ้า” รายนี้...นี่เอง!!!
จริง-ไม่จริง...เชื่อ-ไม่เชื่อ อันนั้นคงต้องลองไปถามคุณ “ริว จิตสัมผัส” หรือคุณโหรี “ฟองสนาน” เอาเองก็แล้วกัน...แต่ที่แน่ๆ ก็คือ แม้ว่าการสร้าง “วิหารครั้งที่ 3” ของชาวอิสราเอลขึ้นมานั้น จะเคยถูกชาวยิวด้วยกันเอง คือชาว “อเมริกันเชื้อสายยิว” อย่าง “ดร.ซามูเอล ฮันติงตัน” (Samuel P. Huntington) เคยเตือนๆ บรรดาผู้นำอเมริกันทั้งหลายเอาไว้ก่อนตาย ปรากฏเป็นข้อเขียนอยู่ในหนังสือเรื่อง “The Clash of Civilization” หรือ “การปะทะทางอารยธรรม” เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ประมาณว่า “เรา(รัฐบาลอเมริกัน) คงต้องใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ ว่าเราหวังจะควบคุมโลกอิสลามทั้งมวลเอาไว้หรือไม่ และเราจะให้การสนับสนุนต่อนโยบายการขยายตัวของอิสราเอล รวมทั้งแผนการในการสร้างวิหารครั้งที่ 3 ของชาวยิว ซึ่งเรียกร้องให้ต้องรื้อถอนโดมแห่งศิลาศาสนสถานของชาวอิสลาม อันอาจทำให้เราต้องตกลงไปในหลุมพรางแห่งการเผชิญหน้ากับชาวมุสลิมที่มีจำนวนถึง 1 ใน 5 ของพลโลก ด้วยหรือเปล่า???” แต่ดูเหมือนว่าการเดินหน้าไปสู่ “การปะทะทางอารยธรรม” ของรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” นั้น นับวันจะมาแรงแซงโค้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า...แม้อาจไม่ไปไกลถึงขั้นสนับสนุนให้มีการสร้าง “วิหารครั้งที่ 3” ขึ้นมาในประเทศอิสราเอล ตามคำทำนาย หรือคำยุแยงของ “แรบไบ โยเซฟ” ก็แล้วแต่ แต่การแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือพร้อมที่จะ “โดดลงไปในหลุมพราง” ของรัฐบาลอิสราเอล นับวัน...ยิ่งเป็นอะไรที่ชัดเจน และเป็นรูป เป็นร่าง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
พูดง่ายๆ ว่า...แม้อาจไม่ถึงขั้นต้องเผชิญหน้า ต้อง “ปะทะทางอารยธรรม” กับบรรดาชาวมุสลิมจำนวน 1 ใน 5 ของโลกแบบฉับพลัน-ทันที แต่โอกาสที่จะต้องเผชิญหน้า ต้อง “ปะทะทางพรมแดน” กับบรรดาชาวซีเรียจำนวนเกือบ 20 ล้านคนแบบชนิดตรงไป-ตรงมา ในอีกไม่นานนับจากนี้ แทบเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด!!! ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นเช่นใดนั้น...คงต้องขออนุญาตลากต่อไปอีกสักวันก็แล้วกัน...