ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ตัวตน"ลุงตู่"เป็นยังไงกันแน่ ? ถ่ายแบบคิกขุ สวัสดี 7 สี 7วัน ตามกุนซือแล้วบอก "ใช่ฉันแน่ๆ" โดนล้อกระจาย หรือจะเป็น "คนจริงจัง พูดจานิ่มนวล ดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม" ในอีกมุมจากคนที่สัมผัสตัวตนจริงๆ ของลุง
ปล่อยให้คนเอาภาพถ่ายแบบในลุคที่ดูไม่เหมือนตัวตน และเอาแผ่นภาพหลากสีสวัสดีวันนั้น วันนี้ ส่งไปในไลน์ล้อกันสนุกสนานตามบทที่กุนซือพีอาร์คิดว่าดี และเจ้าตัวก็ชูมือบอก"ใช่ตัวตนฉันจริงๆ" ... แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยังสงสัยกันอยู่ดีว่า มันใช่เหรอ ตัวจริงๆ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เป็นอย่างไร ต้องให้คนสัมผัสจริงๆ บอกเล่า...
ท่ามกลางภาพล้อลุงตู่กันกระจาย “พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา”ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เผยอีกมุมชวนประทับใจ “พล.อ.ประยุทธ์”ในบรรยากาศที่ไม่ถูกยั่วยุ หรือตัดต่อ ในที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อย่างที่เป็นตัวตนที่ตรงกันข้าม ... ในเฟซบุ๊ก pimpan diskulของ พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความว่า...
"เมื่อวาน (11.3.62) โชคดีได้ตาม คุณชาย Disnadda Diskul(ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ) ไปเปิดหูเปิดตา นั่งฟัง #ลุงตู่ เป็นประธานการประชุม # คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประชุมครั้งนี้คือรอบแรกของปี และรอบสุดท้ายของรัฐบาลนี้ กรรมการ มี 10-20 คน คนเข้าประชุมซัก 200 ได้ รู้สึกว่าแค่การตั้งคณะกรรมการชุดนี้ เมื่อเกือบ 4 ปีที่แล้ว # ก็เท่สุด เป็นนวัตกรรมในการบริหารแผ่นดินที่ดีงาม เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศ-น้ำ > ปากท้อง > สุขภาพ > การพัฒนาที่ยั่งยืน จึงถือเองว่า เป็นวาระยุทธศาสตร์ของชาติเลย และที่มันเท่ เพราะปกติพี่เขาต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างตั้งงบฯ ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับอะไร ไม่มีใครมองภาพใหญ่ ไม่มีใครดูผลลัพธ์ยาวๆ ...เราผู้จ่ายภาษี พูดจริง ก็ไม่ได้สนใจ ไม่ตรวจสอบ ไม่หือไม่อือ ไม่ออกไปดู...
เพราะฉะนั้น การที่ทุกหน่วยงานที่มีส่วนในการทำเรื่องน้ำ จากประมาณ 10 กระทรวง มานั่งรวมกัน เอาภาพใหญ่มากาง และวางเป้าหมายร่วมกัน ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำ #ระบายน้ำ # ป้องกันน้ำท่วม # บำบัดน้ำเสีย # จัดหาน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค # ความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต # จัดการคุณภาพน้ำ # อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ #ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ฯลฯ ร่วมลงพื้นที่ เชื่อมเป้า เชื่อมแผน เชื่อมเงิน วางตัวชี้วัด คือน่าชื่นชมและน่าตื่นเต้นยิ่งนัก แต่นั่นคืออุดมการณ์ คือความตั้งใจ คือเจตนา # เชื่อมั่นว่า ลุงมาถูกทางแล้ว ผลงานที่เรารับรู้ที่ผ่านมา มีความคืบหน้านะ ลงพื้นที่ก็เห็น # แต่คงไม่ทันใจคนยุคติจิตอลแน่นอน รายงานผลการดำเนินงานวันนี้ ก็ยังค่อยๆไปอยู่ หลายงานล่าช้ากว่ากำหนด ไม่เข้าข้าง แต่แอบเข้าใจ เพราะการทำงานพัฒนาละเอียดอ่อน ที่สำคัญที่สุดๆๆ # ผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องมีคุณสมบัติ พี่ๆ ข้าราชการถูกเทรนหรือเติบโตมาอีกแบบ น้อยมากที่จะเดินตามรอย รัชกาลที่ 9 ลงไปเข้าใจ เข้าถึง
วันนี้"ลุงตู่" พูดเสียงทุ้มห้วน ตามสไตล์แต่น้ำเสียงตักเตือนนุ่มนวล ... ลุงว่า ที่เขียนของบฯ ปี 62 มาแล้วยังใช้ไม่หมด และขอปี 63 เพิ่มอีก ขอให้ไปดูว่า ที่เขียนๆ มาทำได้จริงมั้ย ? ตรงตามความต้องการจริงๆ รึเปล่า ? ชาวบ้านมีส่วนร่วมมากแค่ไหน ? # ลุงเน้นเรื่องชาวบ้านมีส่วนร่วมมาก และการลงไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านมาก ลุงบอกแน่นอน จะทำอะไร มันต้องมีทั้งคนเห็นชอบและไม่เห็นชอบ แต่ต้องให้มีคนเห็นชอบมากกว่านะ (ด้วยการอธิบายข้อเท็จจริง และใช้เหตุผล) แล้วให้เขาคุยตกลงกันเอง นี่แหละ วิธีการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ แล้วลุงก็แนะทางออกให้ว่า อย่าไปคิดว่าต้องทำ"โครงการใหญ่" อย่างเดียว ทำเล็กๆ แต่ได้ผลเกิดประโยชน์ก็ได้ ต้องคิดว่าถ้าได้งบฯไปแล้วทำไม่ได้ จะทำยังไง ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน ต้องซอยย่อยงานให้เป็น งานจะได้เดินหน้า...
ลุงบอกด้วยว่า ผลการดำเนินงานนี่อย่ามาพูดรวมๆไปหาโปรแกรมเมอร์ดี ๆ แล้ว plotเส้นทางน้ำ แหล่งน้ำ ลงแผนที่มาให้ดูซิ 4 ปีนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เดิมเป็นยังไง ทำอะไรไป ได้อะไรมา เอาแบบที่มันกดเข้า กดออก เห็นภาพเปรียบเทียบได้ ทำแบบนี้แล้วชาวบ้านจะได้เห็นภาพด้วย ถ้ามิฉะนั้นชาวบ้านเขาจะไม่มีวันเข้าใจตัวเขาเลย และจะขอไปเรื่อยๆ # ว้าว ลุงตู่บอกด้วยว่าต้องทำให้ชาวบ้านเห็นภาพอนาคตไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่งานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปีหนึ่งฝนตกมากขนาดไหน แต่เราเก็บน้ำได้แค่เท่าไหร่เอง ถ้าเขารู้การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการขุดสระเก็บน้ำในที่ของตัวเองจะเกิด ต้องพาให้มองยาวๆ กันบ้าง แทนที่จะรอรับเงินช่วยเหลืออย่างเดียว...
ไม่เคยได้สัมผัส flow ความคิดลุงในบรรยากาศที่ไม่ถูกยั่วยุ หรือตัดต่อ # ประทับใจ เลยอยากแชร์ให้อ่านกัน ... ใครก็ตามจะมาดูแลประเทศต่อ ก็อยากเห็นเหตุผล ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ที่นี้ เท่านี้ แบบมีไส้ในตัวเลขการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงด้วย ขอแผนระยะสั้น กลาง ยาว ของานพัฒนาคนให้เข้มแข็ง ไม่เอาใจคนให้อ่อนแอ ขอความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ ผลักดัน และทำงานร่วมกับพี่ ๆ ข้าราชการด้วย ไม่ง่ายนะจ๊ะ ขอความเข้าใจในหลักนิติธรรม ขอการมองประโยชน์ระยะยาวของส่วนรวม ของคนรุ่นลูกหลาน ความมั่นคง ความสงบร่มเย็นของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ประชาธิปไตยเป็นแค่ means to an end เป็นอุดมการณ์ที่ดี แต่ end คือ สังคมที่สงบสุขใช่มั้ย ? และ # howtoในประชาธิปไตยนอกจากการลงคะแนนมีผู้แทนมีอะไรอีก ? ...ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สถาบันปิดทองหลังพระฯให้ชุมชนยกมือเหมือนกัน แต่ 80% ของกลุ่มเป้าหมายต้องยกมือว่าเอา ถึงจะทำ ทำได้อย่างไร ? ก็ต้องใช้เวลาไง คุยๆๆ ทำความเข้าใจ ลงพื้นที่ด้วยกัน ตอบคำถามคาใจ จนเห็นภาพเดียวกัน how to ของเราคือ # ศาสตร์พระราชา เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มีเหตุมีผล พอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน ประชาธิปไตย สิทธิความเท่าเทียม บลาๆ จะเป็นผลพลอยได้ทันที...
คัดมาให้อ่านอย่างไม่ตัดทอน เพื่ออยากจะบอกลุงว่า เป็นตัวลุงนะดีที่สุดแล้ว
**พลังประชารัฐไม่ผืด รอดคดีโต๊ะจีน ไม่เข้าข่ายยุบพรรค กกต.สอบแล้วไม่มีต่างชาติบริจาค แต่หากจะมีคนผิด จะให้จบดราม่า ต้องไล่บี้คนบริจาค หน่วยงานรัฐไหนซื้อโต๊ะจริงหรือไม่ ต้องจัดการให้เคลียร์
จากที่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาฯกกต.บอกว่า กรณีการสอบสวนคำร้องเรื่องการจัดโต๊ะจีนเพื่อระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ จากการตรวจสอบนิติบุคคล 40 ราย และ บุคคล 84 คน ที่บริจาคเงิน ไม่พบการบริจาคจากต่างชาติ จึงถือว่าไม่มีความผิดเข้าข่ายยุบพรรค ซึ่งจะมีการสรุปเรื่องดังกล่าวส่งให้ กกต. ต่อไป...
เรื่องนี้มาจากการที่พลังประชารัฐ จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีน เพื่อระดมทุนเข้าพรรค เมื่อวันที่19 ธ.ค.61 จัดแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบ 200 โต๊ะ โต๊ะละ 3 ล้านบาท ฮือฮากันทั้งบาง ทั้งวงดนตรี การแสดง สถานที่บะเริ่มเหิ่ม แขกมีทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ คนดังมาร่วมงานกันคับคั่ง ...ว่ากันว่า "ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ" รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บอกนักข่าวว่า นับรวมๆ ตัวเลขบริจาคใกล้เคียง 650 ล้านบาท... สำหรับพรรคแล้วน่าจะตอบได้ไม่ยาก ว่าที่ไปที่มาของเงินนั้นตรวจสอบได้อยู่แล้ว ป้ายก็มีบอกโต๊ะไหน ใครบริจาค แต่ข้อสงสัยทางข้อกฎหมาย ก็เป็นหน้าที่ของ กกต.ต้องตอบ...
ทว่า ในทางการเมืองก็อาจจะหายใจโล่งไม่สุดหน่อยๆ ตรงที่ยังมีเรื่องที่ กกต.ยังไม่ชี้แจงให้เคลียร์ให้ขาด และฝ่ายตรงข้ามอย่าง "หญิงหน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคเพื่อไทย พยายามจี้ปมให้ กกต.ตอบ ... ประเด็นที่ว่านี้คือ ไม่เฉพาะมีต่างชาติหรือไม่มี แต่มีเงินมาจาก"หน่วยงานรัฐ" จริงหรือไม่ ?
ด้วยตอนนั้น ตามกระแสข่าวอ้างว่า มีคนเห็นโพยผู้บริจาค พบทั้งชื่อย่อของหน่วยงานรัฐเป็นเจ้าของโต๊ะจีน เช่น "ททท" 3 โต๊ะ มูลค่ารวม 9 ล้านบาท , "คลัง" 20 โต๊ะ มูลค่ารวม 60 ล้านบาท , "กทม" 10 โต๊ะ มูลค่ารวม 30 ล้านบาท ... ตรงนี่แหละที่เป็นปมประเด็นขึ้นมา จึงมีคนร้องต่อ กกต.ว่า ขัดต่อกฎหมาย หรือไม่ เพราะ ตามมาตรา 76 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดว่า ห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ บริจาคเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมือง หรือเข้าร่วมกิจกรรมระดมทุนของพรรค และ มาตรา 66 กำหนดว่า บุคคลจะบริจาคเงิน หรือทรัพย์สินให้แก่พรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทต่อปีไม่ได้ และกรณีนิติบุคคลไม่เกิน 5 ล้านบาท ...
จริงหรือไม่จริง ? ถ้าจะให้ดี ต้องไปใล่บี้กับคนบริจาค มีโต๊ะของหน่วยงานรัฐจริงหรือไม่ มาในฐานะอะไร นำเงินจากไหนมาจ่ายเงินระดมทุนให้พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหากตัวย่อดังกล่าวเป็นหน่วยงานของรัฐจริง ก็เท่ากับว่า มีการบริจาคเงินให้กับพรรคพลังประชารัฐ โดยหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นความผิดที่จะทำผู้กระทำต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ตามมาตรา 128 ... จัดการให้เด็ดขาดกันไปเลย ใครยังที่สงสัย ก็ต้องไปไล่ไปทีละหนวยงาน ฟ้องไปตามขั้นตอน ผิดก็ว่าไปตามผิด โยงไปถึงไหน ตามไปให้สุด หรือถ้าเงินมันมาไม่ถูก ไม่รับมันก็จบเรื่อง ...ถ้าไม่ทำให้กระจ่าง ผลความน่าเชื่อถือ จะต้องตกอยู่ที่ กกต.เอง พรรคพลังประชารัฐเอง ก็คงถูกบดขยี้เป็นธรรมดา ... ตอนนี้คำคัดสินของ กกต.ถือว่า"เป็นอันยุติ" พลังประชารัฐได้ไปต่อ ต้องย้ำว่า ในขั้นนี้ "พรรคไม่ผิด!" หากจะหาคนผิด ก็ต้องตามผู้บริจาคอย่างที่ว่า ไม่งั้นมันจะไม่สง่างาม หากทำได้เรื่องนี้ก็จบดราม่าไปเอง…
**รางวัลแด่คนทำงาน ปรบมือรัวๆ ยินดีกับกรมราชทัณฑ์ “ดร.เอ” พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีรับอีก 2 รางวัลทรงคุณค่า บุคคลดีเด่นด้านความโปร่งใส และ บริหารทรัพยากร เดินหน้าเป่าหมายขับเคลื่อน Open Government อย่างแท้จริง
ถือเป็นข้าราชการที่ “งานเข้า”เยอะที่สุดคนหนึ่ง อย่างที่เพิ่งจบไปไม่นานกรณีของ "นายฮาคิม อัล อาไรบี" นักเตะบารห์เรน ที่ต้องการลี้ภัยไปออสเตรเลีย ดรามาลากไทยไปอยู่ตรงกลางเขาควาย กูกกดดันอย่างหนักอย่างที่รู้กัน กระนั้น “ดร.เอ”พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พิสูจน์แล้วว่า กรมราชทัณฑ์ รับมือได้อย่างน่าชื่นชม และงานที่หนักก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่คนเสมอ ด้วยรางวัลที่ทรงคุณค่าล่าสุด จากการที่ กรมราชทัณฑ์ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลหน่วยงานบริหารทรัพยากรบุคคลดีเด่นด้านความโปร่งใส ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และรางวัลหน่วยงานบริหารทรัพยากรบุคคลดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2562 ในงานวันมูลนิธิพันเอกจินดา ณ สงขลา เมื่อเร็วๆ นี้ ... ต้องขอแสดงความยินดี และปรบมือให้ดังๆ มา ณ ที่นี้ ...
เบื้องหลังของรางวัลนี้เป็นเพราะว่า "กรมราชทัณฑ์" ได้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร โดยการมีกระบวนการในการสื่อสารผ่านแนวนโยบาย ข้อสั่งการ ประกาศหรือสื่อที่ใช้ในการสื่อสารภายในองค์กร เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ของข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่โดยผู้บริหารมีการกำหนดนโยบายในการบริหารงานราชทัณฑ์ ได้แก่ “นโยบาย 3 ส 7 ก”โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายด้านความสุจริต อันนี้สำคัญมาก ซึ่งเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติราชการโดยไม่เรียกรับผลประโยชน์ ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง ไม่ทำธุรกิจการจัดซื้อจัดจ้าง ขายของกับหน่วยงานอย่างไม่โปร่งใส และส่งเสริมข้าราชการผู้มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น เป็นที่ประจักษ์ ให้ได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานราชทัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กล่าวได้ว่า “ทำดีได้ดี”ขณะที่ "มีพระคุณก็มีพระเดช" การดำเนินการทางวินัยข้าราชการที่กระทำผิดวินัยอย่างเคร่งครัด และให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งถือเป็นกลไกหนึ่งในการสร้างบรรทัดฐาน และค่านิยมด้านความโปร่งใสให้กับข้าราชการในสังกัด...
รางวัลนี้ ยังรวมทั้งกรมราชทัณฑ์ได้ส่งเสริมการขับเคลื่อนองค์กร โดยการสร้างค่านิยมร่วมในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมราชทัณฑ์สามารถยกระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ให้สามารถบรรลุภารกิจของกรมราชทัณฑ์ได้ ด้วยการดำเนินการสร้างค่านิยมด้วย หลักการ “4 S”เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจหลักของหน่วยงาน คือ ช่วยเหลือผู้ต้องขัง ในการฝึกอาชีพให้ประสบความสำเร็จทุกรายตลอดจนลดการกระทำผิดซ้ำที่อาจจะเกิดขึ้นและเพื่อเป็นการสร้างคนดีในสังคมต่อไป โดยให้หน่วยงานในสังกัดกรมราชทัณฑ์ทุกแห่ง จัดให้มีโครงการหรือกิจกรรมเพื่อสอดรับกับ หลักการ “4 S”อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง...
4Sประกอบไปด้วย 1. S : STRONG ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่มีร่างกายที่เข้มแข็ง แต่งกายดี น่าเชื่อถือ 2. S: SMART เสริมสร้างให้เจ้าหน้าที่มีบุคลิก ท่าทางดี มีความรอบรู้ เฉลียวฉลาด ทั้ง EQ และ IQ สามารถปฏิบัติงานได้หลายบทบาทหน้าที่ 3. S : SERVICE กำชับให้มี การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างมีมนุษยธรรม เอาใจใส่ดูแล รวมไปถึงการพัฒนาการบริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ และ 4. S: SUCCESS ส่งเสริมการปฏิบัติงานโดยมุ่งเน้นความสำเร็จในการคืนคนดีสู่สังคมให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ... เหตุผลของรางวัล มาจากการทำงานหนักล้วนๆ
พ.ต.อ.ณรัชต์ ว่าไว้ว่า ผลจากการดำเนินการดังกล่าว ด้วยความใส่ใจ และมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรของกรมราชทัณฑ์อย่างเข้มข้น ทำให้กรมราชทัณฑ์ ประสบผลสำเร็จใน การบริหารงานราชทัณฑ์ด้วยความโปรงใส ตรวจสอบได้ ซึ่งสะท้อนผ่านผลการประเมินคุณธรรม และความโปร่งใส่ในการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์ในภาพรวม (ITA)ประจำงบประมาณ พ.ศ. 2561 อยู่ในระดับสูงสุดของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด โดยได้คะแนน ร้อยละ 88.20 ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก และทำให้กรมราชทัณฑ์แทบปราศจากข้อขัดแย้ง หรือร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา...
กรมราชทัณฑ์ยังคงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรต่อไป เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เป็น Open Government ได้อย่างแท้จริง รักษามาตรฐาน ปรับปรุง และพัฒนานวัตกรรมในการดำเนินงาน และการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้อย่างต่อเนื่องต่อไป
นับเป็นกรมราชทัณฑ์ ยุคโปร่งใสจริงๆ
รูป- พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สวัสดีวันอังคาร
- พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา - งานโต๊ะจีนระดมทุนเข้าพรรคพลังประชารัฐ
- พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์
**ตัวตน"ลุงตู่"เป็นยังไงกันแน่ ? ถ่ายแบบคิกขุ สวัสดี 7 สี 7วัน ตามกุนซือแล้วบอก "ใช่ฉันแน่ๆ" โดนล้อกระจาย หรือจะเป็น "คนจริงจัง พูดจานิ่มนวล ดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม" ในอีกมุมจากคนที่สัมผัสตัวตนจริงๆ ของลุง
ปล่อยให้คนเอาภาพถ่ายแบบในลุคที่ดูไม่เหมือนตัวตน และเอาแผ่นภาพหลากสีสวัสดีวันนั้น วันนี้ ส่งไปในไลน์ล้อกันสนุกสนานตามบทที่กุนซือพีอาร์คิดว่าดี และเจ้าตัวก็ชูมือบอก"ใช่ตัวตนฉันจริงๆ" ... แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยังสงสัยกันอยู่ดีว่า มันใช่เหรอ ตัวจริงๆ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เป็นอย่างไร ต้องให้คนสัมผัสจริงๆ บอกเล่า...
ท่ามกลางภาพล้อลุงตู่กันกระจาย “พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา”ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เผยอีกมุมชวนประทับใจ “พล.อ.ประยุทธ์”ในบรรยากาศที่ไม่ถูกยั่วยุ หรือตัดต่อ ในที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อย่างที่เป็นตัวตนที่ตรงกันข้าม ... ในเฟซบุ๊ก pimpan diskulของ พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความว่า...
"เมื่อวาน (11.3.62) โชคดีได้ตาม คุณชาย Disnadda Diskul(ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ) ไปเปิดหูเปิดตา นั่งฟัง #ลุงตู่ เป็นประธานการประชุม # คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประชุมครั้งนี้คือรอบแรกของปี และรอบสุดท้ายของรัฐบาลนี้ กรรมการ มี 10-20 คน คนเข้าประชุมซัก 200 ได้ รู้สึกว่าแค่การตั้งคณะกรรมการชุดนี้ เมื่อเกือบ 4 ปีที่แล้ว # ก็เท่สุด เป็นนวัตกรรมในการบริหารแผ่นดินที่ดีงาม เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศ-น้ำ > ปากท้อง > สุขภาพ > การพัฒนาที่ยั่งยืน จึงถือเองว่า เป็นวาระยุทธศาสตร์ของชาติเลย และที่มันเท่ เพราะปกติพี่เขาต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างตั้งงบฯ ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับอะไร ไม่มีใครมองภาพใหญ่ ไม่มีใครดูผลลัพธ์ยาวๆ ...เราผู้จ่ายภาษี พูดจริง ก็ไม่ได้สนใจ ไม่ตรวจสอบ ไม่หือไม่อือ ไม่ออกไปดู...
เพราะฉะนั้น การที่ทุกหน่วยงานที่มีส่วนในการทำเรื่องน้ำ จากประมาณ 10 กระทรวง มานั่งรวมกัน เอาภาพใหญ่มากาง และวางเป้าหมายร่วมกัน ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำ #ระบายน้ำ # ป้องกันน้ำท่วม # บำบัดน้ำเสีย # จัดหาน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค # ความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต # จัดการคุณภาพน้ำ # อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ #ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ฯลฯ ร่วมลงพื้นที่ เชื่อมเป้า เชื่อมแผน เชื่อมเงิน วางตัวชี้วัด คือน่าชื่นชมและน่าตื่นเต้นยิ่งนัก แต่นั่นคืออุดมการณ์ คือความตั้งใจ คือเจตนา # เชื่อมั่นว่า ลุงมาถูกทางแล้ว ผลงานที่เรารับรู้ที่ผ่านมา มีความคืบหน้านะ ลงพื้นที่ก็เห็น # แต่คงไม่ทันใจคนยุคติจิตอลแน่นอน รายงานผลการดำเนินงานวันนี้ ก็ยังค่อยๆไปอยู่ หลายงานล่าช้ากว่ากำหนด ไม่เข้าข้าง แต่แอบเข้าใจ เพราะการทำงานพัฒนาละเอียดอ่อน ที่สำคัญที่สุดๆๆ # ผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องมีคุณสมบัติ พี่ๆ ข้าราชการถูกเทรนหรือเติบโตมาอีกแบบ น้อยมากที่จะเดินตามรอย รัชกาลที่ 9 ลงไปเข้าใจ เข้าถึง
วันนี้"ลุงตู่" พูดเสียงทุ้มห้วน ตามสไตล์แต่น้ำเสียงตักเตือนนุ่มนวล ... ลุงว่า ที่เขียนของบฯ ปี 62 มาแล้วยังใช้ไม่หมด และขอปี 63 เพิ่มอีก ขอให้ไปดูว่า ที่เขียนๆ มาทำได้จริงมั้ย ? ตรงตามความต้องการจริงๆ รึเปล่า ? ชาวบ้านมีส่วนร่วมมากแค่ไหน ? # ลุงเน้นเรื่องชาวบ้านมีส่วนร่วมมาก และการลงไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านมาก ลุงบอกแน่นอน จะทำอะไร มันต้องมีทั้งคนเห็นชอบและไม่เห็นชอบ แต่ต้องให้มีคนเห็นชอบมากกว่านะ (ด้วยการอธิบายข้อเท็จจริง และใช้เหตุผล) แล้วให้เขาคุยตกลงกันเอง นี่แหละ วิธีการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ แล้วลุงก็แนะทางออกให้ว่า อย่าไปคิดว่าต้องทำ"โครงการใหญ่" อย่างเดียว ทำเล็กๆ แต่ได้ผลเกิดประโยชน์ก็ได้ ต้องคิดว่าถ้าได้งบฯไปแล้วทำไม่ได้ จะทำยังไง ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน ต้องซอยย่อยงานให้เป็น งานจะได้เดินหน้า...
ลุงบอกด้วยว่า ผลการดำเนินงานนี่อย่ามาพูดรวมๆไปหาโปรแกรมเมอร์ดี ๆ แล้ว plotเส้นทางน้ำ แหล่งน้ำ ลงแผนที่มาให้ดูซิ 4 ปีนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เดิมเป็นยังไง ทำอะไรไป ได้อะไรมา เอาแบบที่มันกดเข้า กดออก เห็นภาพเปรียบเทียบได้ ทำแบบนี้แล้วชาวบ้านจะได้เห็นภาพด้วย ถ้ามิฉะนั้นชาวบ้านเขาจะไม่มีวันเข้าใจตัวเขาเลย และจะขอไปเรื่อยๆ # ว้าว ลุงตู่บอกด้วยว่าต้องทำให้ชาวบ้านเห็นภาพอนาคตไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่งานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปีหนึ่งฝนตกมากขนาดไหน แต่เราเก็บน้ำได้แค่เท่าไหร่เอง ถ้าเขารู้การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการขุดสระเก็บน้ำในที่ของตัวเองจะเกิด ต้องพาให้มองยาวๆ กันบ้าง แทนที่จะรอรับเงินช่วยเหลืออย่างเดียว...
ไม่เคยได้สัมผัส flow ความคิดลุงในบรรยากาศที่ไม่ถูกยั่วยุ หรือตัดต่อ # ประทับใจ เลยอยากแชร์ให้อ่านกัน ... ใครก็ตามจะมาดูแลประเทศต่อ ก็อยากเห็นเหตุผล ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ที่นี้ เท่านี้ แบบมีไส้ในตัวเลขการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงด้วย ขอแผนระยะสั้น กลาง ยาว ของานพัฒนาคนให้เข้มแข็ง ไม่เอาใจคนให้อ่อนแอ ขอความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ ผลักดัน และทำงานร่วมกับพี่ ๆ ข้าราชการด้วย ไม่ง่ายนะจ๊ะ ขอความเข้าใจในหลักนิติธรรม ขอการมองประโยชน์ระยะยาวของส่วนรวม ของคนรุ่นลูกหลาน ความมั่นคง ความสงบร่มเย็นของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ประชาธิปไตยเป็นแค่ means to an end เป็นอุดมการณ์ที่ดี แต่ end คือ สังคมที่สงบสุขใช่มั้ย ? และ # howtoในประชาธิปไตยนอกจากการลงคะแนนมีผู้แทนมีอะไรอีก ? ...ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สถาบันปิดทองหลังพระฯให้ชุมชนยกมือเหมือนกัน แต่ 80% ของกลุ่มเป้าหมายต้องยกมือว่าเอา ถึงจะทำ ทำได้อย่างไร ? ก็ต้องใช้เวลาไง คุยๆๆ ทำความเข้าใจ ลงพื้นที่ด้วยกัน ตอบคำถามคาใจ จนเห็นภาพเดียวกัน how to ของเราคือ # ศาสตร์พระราชา เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มีเหตุมีผล พอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน ประชาธิปไตย สิทธิความเท่าเทียม บลาๆ จะเป็นผลพลอยได้ทันที...
คัดมาให้อ่านอย่างไม่ตัดทอน เพื่ออยากจะบอกลุงว่า เป็นตัวลุงนะดีที่สุดแล้ว
**พลังประชารัฐไม่ผืด รอดคดีโต๊ะจีน ไม่เข้าข่ายยุบพรรค กกต.สอบแล้วไม่มีต่างชาติบริจาค แต่หากจะมีคนผิด จะให้จบดราม่า ต้องไล่บี้คนบริจาค หน่วยงานรัฐไหนซื้อโต๊ะจริงหรือไม่ ต้องจัดการให้เคลียร์
จากที่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาฯกกต.บอกว่า กรณีการสอบสวนคำร้องเรื่องการจัดโต๊ะจีนเพื่อระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ จากการตรวจสอบนิติบุคคล 40 ราย และ บุคคล 84 คน ที่บริจาคเงิน ไม่พบการบริจาคจากต่างชาติ จึงถือว่าไม่มีความผิดเข้าข่ายยุบพรรค ซึ่งจะมีการสรุปเรื่องดังกล่าวส่งให้ กกต. ต่อไป...
เรื่องนี้มาจากการที่พลังประชารัฐ จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีน เพื่อระดมทุนเข้าพรรค เมื่อวันที่19 ธ.ค.61 จัดแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบ 200 โต๊ะ โต๊ะละ 3 ล้านบาท ฮือฮากันทั้งบาง ทั้งวงดนตรี การแสดง สถานที่บะเริ่มเหิ่ม แขกมีทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ คนดังมาร่วมงานกันคับคั่ง ...ว่ากันว่า "ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ" รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บอกนักข่าวว่า นับรวมๆ ตัวเลขบริจาคใกล้เคียง 650 ล้านบาท... สำหรับพรรคแล้วน่าจะตอบได้ไม่ยาก ว่าที่ไปที่มาของเงินนั้นตรวจสอบได้อยู่แล้ว ป้ายก็มีบอกโต๊ะไหน ใครบริจาค แต่ข้อสงสัยทางข้อกฎหมาย ก็เป็นหน้าที่ของ กกต.ต้องตอบ...
ทว่า ในทางการเมืองก็อาจจะหายใจโล่งไม่สุดหน่อยๆ ตรงที่ยังมีเรื่องที่ กกต.ยังไม่ชี้แจงให้เคลียร์ให้ขาด และฝ่ายตรงข้ามอย่าง "หญิงหน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคเพื่อไทย พยายามจี้ปมให้ กกต.ตอบ ... ประเด็นที่ว่านี้คือ ไม่เฉพาะมีต่างชาติหรือไม่มี แต่มีเงินมาจาก"หน่วยงานรัฐ" จริงหรือไม่ ?
ด้วยตอนนั้น ตามกระแสข่าวอ้างว่า มีคนเห็นโพยผู้บริจาค พบทั้งชื่อย่อของหน่วยงานรัฐเป็นเจ้าของโต๊ะจีน เช่น "ททท" 3 โต๊ะ มูลค่ารวม 9 ล้านบาท , "คลัง" 20 โต๊ะ มูลค่ารวม 60 ล้านบาท , "กทม" 10 โต๊ะ มูลค่ารวม 30 ล้านบาท ... ตรงนี่แหละที่เป็นปมประเด็นขึ้นมา จึงมีคนร้องต่อ กกต.ว่า ขัดต่อกฎหมาย หรือไม่ เพราะ ตามมาตรา 76 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดว่า ห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ บริจาคเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมือง หรือเข้าร่วมกิจกรรมระดมทุนของพรรค และ มาตรา 66 กำหนดว่า บุคคลจะบริจาคเงิน หรือทรัพย์สินให้แก่พรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทต่อปีไม่ได้ และกรณีนิติบุคคลไม่เกิน 5 ล้านบาท ...
จริงหรือไม่จริง ? ถ้าจะให้ดี ต้องไปใล่บี้กับคนบริจาค มีโต๊ะของหน่วยงานรัฐจริงหรือไม่ มาในฐานะอะไร นำเงินจากไหนมาจ่ายเงินระดมทุนให้พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหากตัวย่อดังกล่าวเป็นหน่วยงานของรัฐจริง ก็เท่ากับว่า มีการบริจาคเงินให้กับพรรคพลังประชารัฐ โดยหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นความผิดที่จะทำผู้กระทำต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ตามมาตรา 128 ... จัดการให้เด็ดขาดกันไปเลย ใครยังที่สงสัย ก็ต้องไปไล่ไปทีละหนวยงาน ฟ้องไปตามขั้นตอน ผิดก็ว่าไปตามผิด โยงไปถึงไหน ตามไปให้สุด หรือถ้าเงินมันมาไม่ถูก ไม่รับมันก็จบเรื่อง ...ถ้าไม่ทำให้กระจ่าง ผลความน่าเชื่อถือ จะต้องตกอยู่ที่ กกต.เอง พรรคพลังประชารัฐเอง ก็คงถูกบดขยี้เป็นธรรมดา ... ตอนนี้คำคัดสินของ กกต.ถือว่า"เป็นอันยุติ" พลังประชารัฐได้ไปต่อ ต้องย้ำว่า ในขั้นนี้ "พรรคไม่ผิด!" หากจะหาคนผิด ก็ต้องตามผู้บริจาคอย่างที่ว่า ไม่งั้นมันจะไม่สง่างาม หากทำได้เรื่องนี้ก็จบดราม่าไปเอง…
**รางวัลแด่คนทำงาน ปรบมือรัวๆ ยินดีกับกรมราชทัณฑ์ “ดร.เอ” พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีรับอีก 2 รางวัลทรงคุณค่า บุคคลดีเด่นด้านความโปร่งใส และ บริหารทรัพยากร เดินหน้าเป่าหมายขับเคลื่อน Open Government อย่างแท้จริง
ถือเป็นข้าราชการที่ “งานเข้า”เยอะที่สุดคนหนึ่ง อย่างที่เพิ่งจบไปไม่นานกรณีของ "นายฮาคิม อัล อาไรบี" นักเตะบารห์เรน ที่ต้องการลี้ภัยไปออสเตรเลีย ดรามาลากไทยไปอยู่ตรงกลางเขาควาย กูกกดดันอย่างหนักอย่างที่รู้กัน กระนั้น “ดร.เอ”พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พิสูจน์แล้วว่า กรมราชทัณฑ์ รับมือได้อย่างน่าชื่นชม และงานที่หนักก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่คนเสมอ ด้วยรางวัลที่ทรงคุณค่าล่าสุด จากการที่ กรมราชทัณฑ์ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลหน่วยงานบริหารทรัพยากรบุคคลดีเด่นด้านความโปร่งใส ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และรางวัลหน่วยงานบริหารทรัพยากรบุคคลดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2562 ในงานวันมูลนิธิพันเอกจินดา ณ สงขลา เมื่อเร็วๆ นี้ ... ต้องขอแสดงความยินดี และปรบมือให้ดังๆ มา ณ ที่นี้ ...
เบื้องหลังของรางวัลนี้เป็นเพราะว่า "กรมราชทัณฑ์" ได้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร โดยการมีกระบวนการในการสื่อสารผ่านแนวนโยบาย ข้อสั่งการ ประกาศหรือสื่อที่ใช้ในการสื่อสารภายในองค์กร เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ของข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่โดยผู้บริหารมีการกำหนดนโยบายในการบริหารงานราชทัณฑ์ ได้แก่ “นโยบาย 3 ส 7 ก”โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายด้านความสุจริต อันนี้สำคัญมาก ซึ่งเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติราชการโดยไม่เรียกรับผลประโยชน์ ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง ไม่ทำธุรกิจการจัดซื้อจัดจ้าง ขายของกับหน่วยงานอย่างไม่โปร่งใส และส่งเสริมข้าราชการผู้มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น เป็นที่ประจักษ์ ให้ได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานราชทัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กล่าวได้ว่า “ทำดีได้ดี”ขณะที่ "มีพระคุณก็มีพระเดช" การดำเนินการทางวินัยข้าราชการที่กระทำผิดวินัยอย่างเคร่งครัด และให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งถือเป็นกลไกหนึ่งในการสร้างบรรทัดฐาน และค่านิยมด้านความโปร่งใสให้กับข้าราชการในสังกัด...
รางวัลนี้ ยังรวมทั้งกรมราชทัณฑ์ได้ส่งเสริมการขับเคลื่อนองค์กร โดยการสร้างค่านิยมร่วมในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมราชทัณฑ์สามารถยกระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ให้สามารถบรรลุภารกิจของกรมราชทัณฑ์ได้ ด้วยการดำเนินการสร้างค่านิยมด้วย หลักการ “4 S”เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจหลักของหน่วยงาน คือ ช่วยเหลือผู้ต้องขัง ในการฝึกอาชีพให้ประสบความสำเร็จทุกรายตลอดจนลดการกระทำผิดซ้ำที่อาจจะเกิดขึ้นและเพื่อเป็นการสร้างคนดีในสังคมต่อไป โดยให้หน่วยงานในสังกัดกรมราชทัณฑ์ทุกแห่ง จัดให้มีโครงการหรือกิจกรรมเพื่อสอดรับกับ หลักการ “4 S”อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง...
4Sประกอบไปด้วย 1. S : STRONG ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่มีร่างกายที่เข้มแข็ง แต่งกายดี น่าเชื่อถือ 2. S: SMART เสริมสร้างให้เจ้าหน้าที่มีบุคลิก ท่าทางดี มีความรอบรู้ เฉลียวฉลาด ทั้ง EQ และ IQ สามารถปฏิบัติงานได้หลายบทบาทหน้าที่ 3. S : SERVICE กำชับให้มี การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างมีมนุษยธรรม เอาใจใส่ดูแล รวมไปถึงการพัฒนาการบริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ และ 4. S: SUCCESS ส่งเสริมการปฏิบัติงานโดยมุ่งเน้นความสำเร็จในการคืนคนดีสู่สังคมให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ... เหตุผลของรางวัล มาจากการทำงานหนักล้วนๆ
พ.ต.อ.ณรัชต์ ว่าไว้ว่า ผลจากการดำเนินการดังกล่าว ด้วยความใส่ใจ และมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรของกรมราชทัณฑ์อย่างเข้มข้น ทำให้กรมราชทัณฑ์ ประสบผลสำเร็จใน การบริหารงานราชทัณฑ์ด้วยความโปรงใส ตรวจสอบได้ ซึ่งสะท้อนผ่านผลการประเมินคุณธรรม และความโปร่งใส่ในการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์ในภาพรวม (ITA)ประจำงบประมาณ พ.ศ. 2561 อยู่ในระดับสูงสุดของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด โดยได้คะแนน ร้อยละ 88.20 ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก และทำให้กรมราชทัณฑ์แทบปราศจากข้อขัดแย้ง หรือร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา...
กรมราชทัณฑ์ยังคงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรต่อไป เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เป็น Open Government ได้อย่างแท้จริง รักษามาตรฐาน ปรับปรุง และพัฒนานวัตกรรมในการดำเนินงาน และการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้อย่างต่อเนื่องต่อไป
นับเป็นกรมราชทัณฑ์ ยุคโปร่งใสจริงๆ
รูป- พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สวัสดีวันอังคาร
- พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา - งานโต๊ะจีนระดมทุนเข้าพรรคพลังประชารัฐ
- พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์