xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตเวเนซุเอลากับ “โลกต่างสี”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

นายเอเลียต อับรามส์ ทูตพิเศษสหรัฐฯ ประจำเวเนซุเอลา
ปิดฉากสัปดาห์นี้...อาจต้องเรียกว่า ว่าด้วยเรื่องของ “โลกทั้งโลก” เอาเลยก็ว่าได้ โดยมีวิกฤตการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศละตินอเมริกาอย่าง “เวเนซุเอลา” ที่ประธานาธิบดีผู้มาจากการเลือกตั้งอย่าง “นายนิโคลัส มาดูโร” กับประธานาธิบดีผู้มาจากการแต่งตัวเอง อย่าง “นายฮวน กุยโด” หรือ “ฆวยโต” ยังคง “ฟัดกันไม่ลง” นั่นแหละเป็นศูนย์กลาง ด้วยเหตุเพราะต่างฝ่ายต่างกินกันไม่ลง ไม่ว่าจะงัดเอากรรมวิธีต่างๆ นานามาใช้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แนวโน้มที่โลกทั้งโลกอาจพลอยต้อง “ซวยไปด้วย” จึงยิ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที...

โดยเฉพาะเมื่อตัวแทนสายเหยี่ยวของคุณพ่ออเมริกา หนึ่งในพวก “นีโอ-คอนฯ” ชั้นแนวหน้า อย่าง “นายเอลเลียต อับรามส์” (Elliot Abrams) ผู้ซึ่งถูกส่งให้ไปให้คำปรึกษา ชี้แนะ ชี้นำ ประธานาธิบดีหุ่นของอเมริกาอย่าง “นายฆวยโต” แบบใกล้ชิดชนิดก้าวต่อก้าว ได้ออกมาแถลงข่าวเมื่อช่วงวันอังคาร (5 มี.ค.) ที่ผ่านมา หลังจากแผน “ม้าไม้เมืองทรอย” หรือแผนส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมข้ามพรมแดนเข้าไปเวเนซุเอลาประสบความล้มเหลว และแผนการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงเวเนซุเอลาโดยตรง แทบไม่มีประเทศใดเอาด้วย สิ่งที่ “นายเอลเลียต อับรามส์” ป่าวประกาศว่าแผนการที่รัฐบาลอเมริกันอาจนำมาใช้ในช่วงต่อไป ก็คือ “การแซงชั่นรอบใหม่” ที่จะไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่แต่เฉพาะประเทศเวเนซุเอลาเท่านั้น แต่จะขยายขอบเขตไปถึงใคร บริษัทใดๆ หรือประเทศใดก็ตาม ที่ยังคงสนับสนุน “นายมาดูโร” หรือยังไม่เห็นด้วยต่อความพยายามรัฐประหาร ความพยายามเปลี่ยนแปลง “ระบอบปกครองมาดูโร” ของรัฐบาลอเมริกาจะต้องเจอกับการแซงชั่นไปด้วยกันทั้งสิ้น!!!

นี่...เอากันถึงขั้นนั้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือการ “กดดัน” ให้โลกทั้งโลก ต้องตัดสินใจ “เลือกข้าง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ หรืออย่างที่ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ “นายคอลิน คาเวลล์” (Colin Cavell) แห่ง “Bluefield State College” อธิบายความเอาไว้ง่ายๆกับสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” นั่นแหละว่า... “คือการกดดันใครก็ตาม หรือประเทศใดก็ตาม ที่ยังให้การรับรองรัฐบาลมาดูโร ด้วยการบอกว่า...ถ้าคุณไม่สนับสนุนการแซงชั่นของเรา คุณก็ต้องกลายเป็นผู้ถูกแซงชั่นตามไปด้วย” อันถือเป็นสิ่งที่ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์รายนี้เห็นว่าเป็นอะไรที่ “อันตราย” เอามากๆ สำหรับมาตรฐานระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะไม่เพียงเป็นการ “ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ” เท่าที่เคยมีมาแต่เพียงแต่เท่านั้น แต่ยังเป็นการบีบบังคับแบบดื้อๆ ทื่อๆ หรือแบบหน้าด้านๆ ให้บรรดาประเทศต่างๆ ต้องให้ความยอมรับว่า...อเมริกาก็คือประเทศที่สามารถแทรกแซงกิจการภายในของประเทศใดๆ ก็ตามในโลกนี้ได้เสมอ...

ซึ่งเมื่อมาถึง ณ ขณะนี้...แม้จำนวนประเทศที่ยอมดมก้น ยอมตามใจ หรือยอมคล้อยตาม “ลัทธิอำเภอใจ” ของอเมริกา ด้วยการให้การรับรองประธานาธิบดีหุ่นของอเมริกา อย่าง “นายฆวยโต” จะมีมากถึงเกือบ 60 ประเทศ แต่ก็อีกไม่น้อยกว่า 50 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ รวมทั้งตัวองค์กรสหประชาชาติเอง ก็ยังคงให้การรับรองรัฐบาล “นายมาดูโร” ตามระเบียบแบบแผนตามกฎ กติกา หรือตามมาตรฐานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่เช่นเดิม และบรรดาประเทศต่างๆ เหล่านี้นี่แหละ ที่อาจต้อง “ซวย” ไปด้วย ถ้าหากไม่คิดจะหันไปแหกทวารดมก้นอเมริกา ก็อาจต้องถูก “แซงชั่น” ตามคำขู่ของ “นายเอเลียต อับรามส์” ที่ออกมายืนยัน นั่งยัน และนอนยัน ว่า “การแซงชั่นรอบสอง” ของอเมริกาต่อเวเนซุเอลาในลักษณะดังกล่าว “มีความชัดเจนว่าเป็นไปได้อย่างมาก” โดยอาจเริ่มต้นในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้...

หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ถ้าหากคำพูด คำขู่ ของ “นายเอเลียต อับรามส์” ตัวแทนสายเหยี่ยว ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายจอห์น โบลตัน” ซึ่งเป็น “นีโอ-คอนฯ” ด้วยกัน ส่งไปดำเนินแผนการต่างๆ ในเวเนซุเอลา เกิดเป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาตามนั้น ก็เท่ากับว่า...จากกรณีวิกฤตความขัดแย้งในเวเนซุเอลานี่เอง ที่ทำให้โลกทั้งโลกหนีไม่พ้นต้องถูกบีบบังคับให้เลือกข้าง เลือกฝ่าย อย่างมิอาจ “เป็นกลาง” ใดๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!! ส่วนภายใต้สีสันบรรยากาศ หรือภายใต้ฉากสถานการณ์ทำนองนี้ จะส่งผลให้โลกทั้งโลก ต้องเป็นไปในแบบไหน อย่างไร อันนี้...ใครที่อยากวาดภาพจินตนาการออกมาให้ชัดๆ คงต้องขออนุญาตเสนอแนะให้ลองไปหาข้อเขียน บทความ เรื่อง “Here’s how the world picks sides in the Venezuela crisis” หรือการเลือกข้างของโลกในวิกฤตเวเนซุเอลา ที่ “นายFrank Jacobs” นักคิด นักเขียน แห่งเว็บไซต์ “Big Think for Business” ได้นำเสนอข้อคิดข้อสังเกตและแง่มุมต่างๆ เอาไว้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ชนิดมีทั้งภาพ มีทั้งความเห็น ที่น่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย...

คือถ้าสรุปกันแบบสั้นๆ ย่อๆ ก็คงประมาณว่า...ภาพแห่งการเลือกข้าง หรือการถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกข้าง เลือกฝ่าย ในกรณีวิกฤตความขัดแย้งของประเทศเวเนซุเอลาในทุกวันนี้ ซึ่งถูกแยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างประเทศที่สนับสนุน “นายฆวยโต” กับประเทศที่สนับสนุน “นายมาดูโร” โดยอาศัย “สีน้ำเงิน” กับ “สีแดง” ระบายเอาไว้บนแผนที่โลกในแต่ละส่วนนั้น แทบเป็นภาพเดียวกันกับที่เคยปรากฏอยู่บนแผนที่โลก ในช่วงก่อนหน้าที่จะเกิด “สงครามโลก” หรือ “สงครามเย็น” อุบัติตามมานั่นเองและโลกที่ถูกแยกออกเป็นสีน้ำเงิน-สีแดง แยกออกเป็น 2 ส่วน 2 ค่ายกว่าจะมีโอกาสกลมกลืนกลายเป็น “สีเดียวกัน” ขึ้นมาได้ หนีไม่พ้นต้องอาศัยหยดเลือด หรืออาศัยชีวิตของมวลมนุษยชาติ นับไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยล้าน ละเลงลงไปแบบคราวแล้ว คราวเล่า ทาทับแบบซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น