ผู้จัดการรายวัน360-ศาลพิพากษายกฟ้อง 21 อดีตแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรชุมนุมบริเวณรัฐสภาวันที่ 7 ต.ค.51 ชี้ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ มุ่งเปิดโปงทุจริต ขัดขวาง "สมชาย" น้องเขย "ทักษิณ" แถลงนโยบาย ส่วนเหตุการณ์ความรุนแรง เกิดจากเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม จนมีผู้บาดเจ็บและไม่พอใจ จึงตอบโต้เจ้าหน้าที่ แกนนำไม่ได้สั่งการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (4 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมด้วยอดีตแกนนำและแนวร่วม พธม. 21 คน เช่น นายพิภพ ธงไชย , นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ , นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา มาจากเรือนจำ ขณะที่จำเลยคนอื่น ที่ได้รับการประกันตัว เช่น นายวีระ สมความคิด ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ศาลอาญา กรณีที่ได้เคลื่อนการชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาลไปปิดล้อมอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ประชุมแถลงนโยบาย
ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาตามนัด จำเลยมาครบทั้ง 21 คน ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในช่วงการชุมนุม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และจำเลยที่ 1-21 ได้ประกาศตลอดเวลาห้ามผู้ชุมนุมนำอาวุธ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาในพื้นที่ ขณะที่พยานโจทก์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาสืบสวนหาข่าว ดูแลความปลอดภัยบริเวณชุมนุม ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยไปในทิศทางเดียวกันว่า ระหว่างการชุมนุมบริเวณสภาตั้งแต่ 5-7 ต.ค.2551 ไม่พบว่ามีผู้ชุมนุมคนใดเข้าไปในอาคารรัฐสภาและทำลายทรัพย์สิน แต่การชุมนุม เป็นไปโดยสงบภายใต้เจตนาการคัดค้านการแถลงนโยบายรัฐบาล
ขณะเดียวกัน การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร มีการปราศรัยให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อว่ารัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสมชาย เป็นหุ่นเชิดของนายทักษิณ ชินวัตร และยุคของนายสมัครยังได้เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยเหลือให้นายทักษิณพ้นจากการตรวจสอบคดีทุจริต และเพื่อช่วยเหลือให้พรรคพลังประชาชนพ้นจากคดียุบพรรค ต่อมาเมื่อนายสมัครพ้นจากตำแหน่ง และนายสมชายขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้ชุมชนเห็นว่ายังคงเป็นหุ่นเชิด จึงชุมนุมต่อ
ส่วนกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทั้งการไม่ให้ อดีต ส.ว. เข้าไปประชุมรัฐสภา เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้ชุมนุม ไม่เกี่ยวกับจำเลย และกรณี ส.ส. ที่ระบุว่าไม่สามารถออกจากรัฐสภาได้ เพราะถูกปิดทางเข้าออก เป็นเพราะการสลายการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล ถูกเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตา ทำให้ผู้ชุมนุมโกรธแค้น และวุ่นวายเป็นเรื่องธรรมดา ยากที่แกนนำจะควบคุมได้
ดังนั้น จึงฟังได้ว่า การชุมนุมดังกล่าวของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นไปโดยสงบตามสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ซึ่งประชาชนในฐานะเจ้าของประชาธิปไตยได้ร่วมตรวจสอบนักการเมือง โดยแกนนำได้นำข้อมูลข้อเท็จจริงมาสื่อสารให้ประชาชนรับทราบ ซึ่งคดีเหล่านั้น มีบทพิสูจน์แล้วจากคำพิพากษาของศาล การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง
หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น บรรดาญาติและแนวร่วม พธม. ที่เดินทางมาให้กำลังใจต่างแสดงความดีใจ เข้าไปจับมือพูดคุยแสดงความยินดีกับพวกจำเลยอย่างอบอุ่น บางรายก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่ม พธม. กล่าวภายหลังว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมด ศาลพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา ในขั้นตอนต่อไปอัยการโจทก์ต้องอุทธรณ์ภายใน 30 วัน หากเขียนคำอุทธรณ์ไม่ทัน ก็อาจจะขอขยาย ซึ่ง พธม. ต้องแก้อุทธรณ์ หากอัยการไม่อุทธรณ์ ก็เป็นบุญของเรา มันจะได้เบาไปบ้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (4 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมด้วยอดีตแกนนำและแนวร่วม พธม. 21 คน เช่น นายพิภพ ธงไชย , นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ , นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา มาจากเรือนจำ ขณะที่จำเลยคนอื่น ที่ได้รับการประกันตัว เช่น นายวีระ สมความคิด ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ศาลอาญา กรณีที่ได้เคลื่อนการชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาลไปปิดล้อมอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ประชุมแถลงนโยบาย
ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาตามนัด จำเลยมาครบทั้ง 21 คน ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในช่วงการชุมนุม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และจำเลยที่ 1-21 ได้ประกาศตลอดเวลาห้ามผู้ชุมนุมนำอาวุธ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาในพื้นที่ ขณะที่พยานโจทก์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาสืบสวนหาข่าว ดูแลความปลอดภัยบริเวณชุมนุม ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยไปในทิศทางเดียวกันว่า ระหว่างการชุมนุมบริเวณสภาตั้งแต่ 5-7 ต.ค.2551 ไม่พบว่ามีผู้ชุมนุมคนใดเข้าไปในอาคารรัฐสภาและทำลายทรัพย์สิน แต่การชุมนุม เป็นไปโดยสงบภายใต้เจตนาการคัดค้านการแถลงนโยบายรัฐบาล
ขณะเดียวกัน การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร มีการปราศรัยให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อว่ารัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสมชาย เป็นหุ่นเชิดของนายทักษิณ ชินวัตร และยุคของนายสมัครยังได้เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยเหลือให้นายทักษิณพ้นจากการตรวจสอบคดีทุจริต และเพื่อช่วยเหลือให้พรรคพลังประชาชนพ้นจากคดียุบพรรค ต่อมาเมื่อนายสมัครพ้นจากตำแหน่ง และนายสมชายขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้ชุมชนเห็นว่ายังคงเป็นหุ่นเชิด จึงชุมนุมต่อ
ส่วนกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทั้งการไม่ให้ อดีต ส.ว. เข้าไปประชุมรัฐสภา เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้ชุมนุม ไม่เกี่ยวกับจำเลย และกรณี ส.ส. ที่ระบุว่าไม่สามารถออกจากรัฐสภาได้ เพราะถูกปิดทางเข้าออก เป็นเพราะการสลายการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล ถูกเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตา ทำให้ผู้ชุมนุมโกรธแค้น และวุ่นวายเป็นเรื่องธรรมดา ยากที่แกนนำจะควบคุมได้
ดังนั้น จึงฟังได้ว่า การชุมนุมดังกล่าวของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นไปโดยสงบตามสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ซึ่งประชาชนในฐานะเจ้าของประชาธิปไตยได้ร่วมตรวจสอบนักการเมือง โดยแกนนำได้นำข้อมูลข้อเท็จจริงมาสื่อสารให้ประชาชนรับทราบ ซึ่งคดีเหล่านั้น มีบทพิสูจน์แล้วจากคำพิพากษาของศาล การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง
หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น บรรดาญาติและแนวร่วม พธม. ที่เดินทางมาให้กำลังใจต่างแสดงความดีใจ เข้าไปจับมือพูดคุยแสดงความยินดีกับพวกจำเลยอย่างอบอุ่น บางรายก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่ม พธม. กล่าวภายหลังว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมด ศาลพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา ในขั้นตอนต่อไปอัยการโจทก์ต้องอุทธรณ์ภายใน 30 วัน หากเขียนคำอุทธรณ์ไม่ทัน ก็อาจจะขอขยาย ซึ่ง พธม. ต้องแก้อุทธรณ์ หากอัยการไม่อุทธรณ์ ก็เป็นบุญของเรา มันจะได้เบาไปบ้าง