**ต้องบอกว่านี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปี นับตั้งแต่ ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2544 เป็นต้นมา ต่อเนื่องจนถึงชื่อพรรคเพื่อไทยในวันนี้ ที่ในการเลือกตั้งแล้ว เครือข่ายของพวกเขาจะอยู่ในภาวะถดถอย หรือไม่ได้"ฮอต" เปรี้ยงปร้าง เหมือนเช่นทุกครั้ง
อาจเป็นเพราะต้องมาเจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาอย่าง "บิ๊กตู่" หรือ"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ รู้เท่าทันเกม หรือว่าเป็นเพราะ ทักษิณ ชินวัตร กำลังเข้าสู่ "ยุคขาลง" ตามวัฏจักรที่มีขึ้นแล้วก็ต้องมีลง มีลาภเสื่อมลาภ ไปตามสภาพอะไรประมาณนั้น หรือเปล่า
หากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเมื่อมองจากยุทธศาสตร์ "แตกแบงก์พัน" ที่หวังว่าจะตามเก็บคะแนนจากผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยในอดีตตามตัวเลขจากการเลือกตั้งคราวที่แล้ว เมื่อปี 2544 จำนวน 14 ล้านเสียงให้กลับคืนมาให้ได้มากที่สุด จึงได้มีการแตกออกเป็น "พรรคย่อย" พรรคลูก ที่เรียกว่า "ตระกูลเพื่อ" มาหลายพรรค หวังแก้จุดอ่อนจากกติการัฐธรรมนูญปัจจุบัน
แต่เมื่อเกิดปรากฏการณ์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ในพรรคไทยรักษาชาติ ทำให้ทุกอย่างพังทลาย ทุกอย่างย่อยยับป่นปี้ ทำให้ "ไปไม่เป็น" รวนกันทั้งขบวน และสร้างความระส่ำระสายกันทั้งเครือข่าย ตั้งแต่ "บริษัทแม่" ไปยัน"บริษัทย่อย" เพราะสาเหตุมาจากการวางหมากที่หวัง "กินสามต่อ" เข้าฮอส เมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตร มันถึงกลับตัวไม่ทัน
หากเริ่มโฟกัสจากพรรคเพื่อไทย ที่ถือว่าเป็นพรรคหลักเป็น"เรือธง" ของเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร แต่มาถึงนาทีนี้ กระแสไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิดหวังเอาไว้ตั้งแต่ต้น เพราะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่ออกมาตรงกัน ในระยะหลังจะออกมาในรูปของความนิยมแบบ "เรียบๆ" ไม่ได้ร้อนแรงดังคาด ไม่ว่าจะเป็นตัวแคนดิเดต นายกฯ อย่าง "เจ๊หน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ความนิยมก็เป็นแบบเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง และเริ่มตามหลัง "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรคพลังประชารัฐ ในระยะ "ห่าง" มากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่แคนดิเดตอีกคนของพรรค คือ "ชัชชาติ สุทธิพันธุ์" ผลสำรวจจากสำนักเดียวกัน กลับมีความนิยมลดลง ส่วนความนิยมของพรรคเพื่อไทยนั้นเล่า ล่าสุดก็ถูกพรรคพลังประชารัฐ จี้ติดแบบ "หายใจรดต้นคอ" มีโอกาสแซงนำได้ทุกเมื่อ เพราะเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศภายใน เปรียบเทียบกันระหว่างสองพรรค ความคึกคักนั้นต่างกันลิบลับ
แน่นอนว่าตัวแปรสำคัญของเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร อยู่ที่พรรคไทยรักษาชาติ ที่ในเวลานี้เหมือนกับอยู่ในภาวะ "ตายทั้งเป็น" กำลังลุ้นอยู่ว่า ในวันที่ 7 มีนาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดวินิจฉัย จะออกหัวหรือก้อย จะ "ยุบหรือไม่ยุบ" แต่จากสภาพในปัจจุบันรับรองว่า ไม่มีใครอยากเคลื่อนไหวอะไร อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากคำแถลงของศาลที่ระบุว่า "มีหลักฐานชัดเจนแล้วไม่จำเป็นต้องไต่สวนเพิ่ม" มันก็ทำให้การยื่นพยานจำนวนถึง 19 ปาก เพื่อหวังให้การพิจารณายืดเยื้อไปหลังเลือกตั้ง ก็ต้องเป็นหมันไป
แม้ว่ายังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบบวก หรือลบ หากออกมาในทางลบ หรือยุบพรรค จะส่งผลให้ผู้สมัครของพรรคไทยรักษาชาติ ในระบบเขตที่ส่งสมัครราว 150 เขต กลายเป็นฟันหลอทันที
ขณะเดียวกันหากจะให้เทคะแนนไปที่ "พรรคตระกูลเพื่อ" ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อชาติ มันก็ทำได้ยาก เพราะเหมือนกับ "ปลาคนละน้ำ" เพราะผิดแผนมาตั้งแต่แรก เนื่องจากไม่ได้ถูกตั้งให้เป็น "พรรคสำรอง" อย่างมากก็เป็นได้แค่คนรู้จัก เคยเป็นแค่มวลชนคนเสื้อแดง ที่เคยอาสาเข้ามารองมือรองเท้า เท่านั้นเอง ไม่ใช่ระดับ "วงใน" อย่างพวกในพรรคไทยรักษาชาติ
**ที่สำคัญเวลานี้ ภายในพรรคเพื่อชาติ มีแต่ข่าว "ความแตกแยก" สาวไส้กันเละ ดังจะเห็นได้จากความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตรองหัวหน้าพรรค ที่แฉโพย จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สนับสนุนพรรคคนสำคัญว่า เล่นพวก และยังเปิดโปงในเรื่องการซื้อขายลำดับผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ที่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีคดี และเสี่ยงถูกยุบพรรคตามมาอีก และนอกเหนือจากนั้นยังมีข่าวทางลบอีกว่า เวลานี้ ยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้สนับสนุนคนสำคัญอีกคนหนึ่ง ก็ไม่พอใจแบบ "ทางใครทางมัน"
กันไปแล้ว
หรือหากจะพึ่งพาพรรคแนวร่วมที่เคยมองกันว่า น่าจะหันไปทางพรรคอนาคตใหม่ของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" เวลานี้กระแสก็ "แผ่ว" ลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวของ ธนาธร ผลสำรวจล่าสุดก็มีความนิยมลดลง เมื่อเปรียบเทียบจากการสำรวจคราวก่อน
**ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อหันไปทางคู่ต่อสู้อย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่มีแคนดิเดตอย่าง "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นับวันมีแต่ความคึกคัก ฮึกเหิม ทุกอย่างเป็นใจไปหมด ล่าสุดทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ก็ไฟเขียวให้ ลุงตู่ไปขึ้นเวทีหาเสียงได้ เพียงแต่เตือนให้ระวังในเรื่องการใช้ตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปอยู่แล้ว แต่นั่นเท่ากับว่า ได้เพิ่มช่องทางการหาคะแนนนิยมได้มากขึ้นไปอีก
เวลานี้คะแนนของพรรคพลังประชารัฐ กำลังจี้ติดพรรคเพื่อไทยแบบ "หายใจรดต้นคอ" เวลาที่ยังเหลืออีกเกือบ 3 สัปดาห์ น่าจะถือว่าเหลือเฟือที่จะแซงนำได้ ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ทุกพรรคต่างพยายามขัดขวางไม่ให้ "บิ๊กตู่" ขึ้นเวที หรือเดินสายช่วยผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ เพราะหากเกิดขึ้นจริง นั่นเท่ากับหายนะดีๆนี่เอง
ดังนั้นหากสรุปถึงบรรยากาศเปรียบเทียบระหว่างสองฝ่าย เวลานี้ถือว่าหาก "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นคนกำหนดเกม ก็ต้องบอกว่าเขา "พลาด" ทำให้พังทั้งกระดาน ทุกอย่างถดถอยไปหมด ไม่มีนโยบายใหม่มาขาย คนก็ไม่เปรี้ยง แผนแตกแบงก์พันก็ล้มไม่เป็นท่า
**ขณะที่"ฝ่ายลุงตู่" มีแต่ความฮึกเหิม ทุกอย่างเข้าทาง ซึ่งอาจเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี ตั้งแต่ปี 44 ที่ตั้งพรรคไทยรักไทย ที่ทักษิณ ส่อเค้าว่าจะแพ้ย่อยยับ !!
อาจเป็นเพราะต้องมาเจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาอย่าง "บิ๊กตู่" หรือ"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ รู้เท่าทันเกม หรือว่าเป็นเพราะ ทักษิณ ชินวัตร กำลังเข้าสู่ "ยุคขาลง" ตามวัฏจักรที่มีขึ้นแล้วก็ต้องมีลง มีลาภเสื่อมลาภ ไปตามสภาพอะไรประมาณนั้น หรือเปล่า
หากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเมื่อมองจากยุทธศาสตร์ "แตกแบงก์พัน" ที่หวังว่าจะตามเก็บคะแนนจากผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยในอดีตตามตัวเลขจากการเลือกตั้งคราวที่แล้ว เมื่อปี 2544 จำนวน 14 ล้านเสียงให้กลับคืนมาให้ได้มากที่สุด จึงได้มีการแตกออกเป็น "พรรคย่อย" พรรคลูก ที่เรียกว่า "ตระกูลเพื่อ" มาหลายพรรค หวังแก้จุดอ่อนจากกติการัฐธรรมนูญปัจจุบัน
แต่เมื่อเกิดปรากฏการณ์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ในพรรคไทยรักษาชาติ ทำให้ทุกอย่างพังทลาย ทุกอย่างย่อยยับป่นปี้ ทำให้ "ไปไม่เป็น" รวนกันทั้งขบวน และสร้างความระส่ำระสายกันทั้งเครือข่าย ตั้งแต่ "บริษัทแม่" ไปยัน"บริษัทย่อย" เพราะสาเหตุมาจากการวางหมากที่หวัง "กินสามต่อ" เข้าฮอส เมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตร มันถึงกลับตัวไม่ทัน
หากเริ่มโฟกัสจากพรรคเพื่อไทย ที่ถือว่าเป็นพรรคหลักเป็น"เรือธง" ของเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร แต่มาถึงนาทีนี้ กระแสไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิดหวังเอาไว้ตั้งแต่ต้น เพราะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่ออกมาตรงกัน ในระยะหลังจะออกมาในรูปของความนิยมแบบ "เรียบๆ" ไม่ได้ร้อนแรงดังคาด ไม่ว่าจะเป็นตัวแคนดิเดต นายกฯ อย่าง "เจ๊หน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ความนิยมก็เป็นแบบเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง และเริ่มตามหลัง "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรคพลังประชารัฐ ในระยะ "ห่าง" มากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่แคนดิเดตอีกคนของพรรค คือ "ชัชชาติ สุทธิพันธุ์" ผลสำรวจจากสำนักเดียวกัน กลับมีความนิยมลดลง ส่วนความนิยมของพรรคเพื่อไทยนั้นเล่า ล่าสุดก็ถูกพรรคพลังประชารัฐ จี้ติดแบบ "หายใจรดต้นคอ" มีโอกาสแซงนำได้ทุกเมื่อ เพราะเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศภายใน เปรียบเทียบกันระหว่างสองพรรค ความคึกคักนั้นต่างกันลิบลับ
แน่นอนว่าตัวแปรสำคัญของเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร อยู่ที่พรรคไทยรักษาชาติ ที่ในเวลานี้เหมือนกับอยู่ในภาวะ "ตายทั้งเป็น" กำลังลุ้นอยู่ว่า ในวันที่ 7 มีนาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดวินิจฉัย จะออกหัวหรือก้อย จะ "ยุบหรือไม่ยุบ" แต่จากสภาพในปัจจุบันรับรองว่า ไม่มีใครอยากเคลื่อนไหวอะไร อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากคำแถลงของศาลที่ระบุว่า "มีหลักฐานชัดเจนแล้วไม่จำเป็นต้องไต่สวนเพิ่ม" มันก็ทำให้การยื่นพยานจำนวนถึง 19 ปาก เพื่อหวังให้การพิจารณายืดเยื้อไปหลังเลือกตั้ง ก็ต้องเป็นหมันไป
แม้ว่ายังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบบวก หรือลบ หากออกมาในทางลบ หรือยุบพรรค จะส่งผลให้ผู้สมัครของพรรคไทยรักษาชาติ ในระบบเขตที่ส่งสมัครราว 150 เขต กลายเป็นฟันหลอทันที
ขณะเดียวกันหากจะให้เทคะแนนไปที่ "พรรคตระกูลเพื่อ" ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อชาติ มันก็ทำได้ยาก เพราะเหมือนกับ "ปลาคนละน้ำ" เพราะผิดแผนมาตั้งแต่แรก เนื่องจากไม่ได้ถูกตั้งให้เป็น "พรรคสำรอง" อย่างมากก็เป็นได้แค่คนรู้จัก เคยเป็นแค่มวลชนคนเสื้อแดง ที่เคยอาสาเข้ามารองมือรองเท้า เท่านั้นเอง ไม่ใช่ระดับ "วงใน" อย่างพวกในพรรคไทยรักษาชาติ
**ที่สำคัญเวลานี้ ภายในพรรคเพื่อชาติ มีแต่ข่าว "ความแตกแยก" สาวไส้กันเละ ดังจะเห็นได้จากความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตรองหัวหน้าพรรค ที่แฉโพย จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สนับสนุนพรรคคนสำคัญว่า เล่นพวก และยังเปิดโปงในเรื่องการซื้อขายลำดับผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ที่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีคดี และเสี่ยงถูกยุบพรรคตามมาอีก และนอกเหนือจากนั้นยังมีข่าวทางลบอีกว่า เวลานี้ ยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้สนับสนุนคนสำคัญอีกคนหนึ่ง ก็ไม่พอใจแบบ "ทางใครทางมัน"
กันไปแล้ว
หรือหากจะพึ่งพาพรรคแนวร่วมที่เคยมองกันว่า น่าจะหันไปทางพรรคอนาคตใหม่ของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" เวลานี้กระแสก็ "แผ่ว" ลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวของ ธนาธร ผลสำรวจล่าสุดก็มีความนิยมลดลง เมื่อเปรียบเทียบจากการสำรวจคราวก่อน
**ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อหันไปทางคู่ต่อสู้อย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่มีแคนดิเดตอย่าง "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นับวันมีแต่ความคึกคัก ฮึกเหิม ทุกอย่างเป็นใจไปหมด ล่าสุดทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ก็ไฟเขียวให้ ลุงตู่ไปขึ้นเวทีหาเสียงได้ เพียงแต่เตือนให้ระวังในเรื่องการใช้ตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปอยู่แล้ว แต่นั่นเท่ากับว่า ได้เพิ่มช่องทางการหาคะแนนนิยมได้มากขึ้นไปอีก
เวลานี้คะแนนของพรรคพลังประชารัฐ กำลังจี้ติดพรรคเพื่อไทยแบบ "หายใจรดต้นคอ" เวลาที่ยังเหลืออีกเกือบ 3 สัปดาห์ น่าจะถือว่าเหลือเฟือที่จะแซงนำได้ ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ทุกพรรคต่างพยายามขัดขวางไม่ให้ "บิ๊กตู่" ขึ้นเวที หรือเดินสายช่วยผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ เพราะหากเกิดขึ้นจริง นั่นเท่ากับหายนะดีๆนี่เอง
ดังนั้นหากสรุปถึงบรรยากาศเปรียบเทียบระหว่างสองฝ่าย เวลานี้ถือว่าหาก "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นคนกำหนดเกม ก็ต้องบอกว่าเขา "พลาด" ทำให้พังทั้งกระดาน ทุกอย่างถดถอยไปหมด ไม่มีนโยบายใหม่มาขาย คนก็ไม่เปรี้ยง แผนแตกแบงก์พันก็ล้มไม่เป็นท่า
**ขณะที่"ฝ่ายลุงตู่" มีแต่ความฮึกเหิม ทุกอย่างเข้าทาง ซึ่งอาจเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี ตั้งแต่ปี 44 ที่ตั้งพรรคไทยรักไทย ที่ทักษิณ ส่อเค้าว่าจะแพ้ย่อยยับ !!