xs
xsm
sm
md
lg

อย่าขวางรักของฟ้ากับพ่อ แค่รอซับน้ำตาก็พอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”

ผู้ใหญ่ในวันนี้ล้วนแล้วแต่ผ่านการเป็นเด็กมาแล้วทั้งนั้น และช่วงวัยที่เราเป็นเด็กนั้น เรามักคิดว่า ผู้ใหญ่ชอบมาก้าวก่ายกับชีวิตของเราเกินไป จนเรารู้สึกต่อต้านเพื่อจะเอาชนะ ความรู้สึกของช่วงวัยหนุ่มสาวก็คือ การที่อยากจะทำอะไรตามใจของตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง คิดว่าตัวเองมีเหตุผลที่ดีกว่า หลังจากผ่านช่วงวัยที่พ่อแม่กำกับแล้วขีดเส้นให้เราเดินอย่างโน้นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด

วิถีของคนหนุ่มสาวจึงเป็นวิถีของกบฏ สิ่งไหนถูกห้ามยิ่งอยากจะทำ เหมือนหนังเรื่อง V for Vendetta มีคำกล่าวคำหนึ่งที่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ถอดความว่า “หนุ่มสาวไม่เป็นกบฏก็ไม่มีใจ คนสูงอายุเป็นกบฏก็ไม่มีสมอง”

ความรู้สึกของคนหนุ่มสาวยุคนี้ก็เช่นเดียวกัน ในทางจิตวิทยาอธิบายว่านิสัยพื้นฐานของวัยรุ่นมักหลงใหลคลั่งไคล้อะไรได้ง่าย ยิ่งถูกต่อต้านยิ่งขัดขืน เหมือนคำพูดที่ว่า ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ดังนั้นที่ผู้ใหญ่จำนวนมากกำลังเตือนสติคนหนุ่มสาวที่หลงไหลคลั่งไคล้ในตัวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะต้องระวังผลที่ตรงกันข้าม

เพราะดูเหมือนว่า การที่ผู้ใหญ่ออกมามากยิ่งจะสร้างความสนใจให้กับคนหนุ่มสาวมากขึ้น เวลาที่เราเป็นคนหนุ่มสาวเรารักใครแล้วมักจะทุ่มเทสุดชีวิต ใครไปเตือนไปห้ามอะไรก็ไม่ฟัง เหมือนที่ว่าความรักทำให้คนตาบอด ผิดหวังก็จะฟูมฟาย ถ้าถูกขัดขวางก็ยิ่งจะประชดและหลายคนทำร้ายตัวเองยอมจบชีวิตสร้างความปวดร้าวให้พ่อแม่หนักไปอีก

ผมคิดว่าคนหนุ่มสาวยุคนี้ เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาคิดไม่ใช่สิ่งที่ผิด เช่นเดียวกันคนหนุ่มสาวเมื่อเดือนตุลาคม 2516 ก็เป็นอย่างนี้ พวกเขามีจิตสำนึกของกบฏที่จะต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่แม้ว่าวันนั้นจะได้รับชัยชนะ นำบ้านเมืองกลับมาสู่ประชาธิปไตย แต่ต้องไม่ลืมว่า ผลพวงที่ตามมานั้นก็ต่อยอดความคิดให้พวกเขาต้องการการเปลี่ยนแปลงไปที่มากกว่านั้นจนเกือบพาบ้านเมืองล้มขมำคว่ำหงาย เพราะคนจำนวนหนึ่งมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองที่จะนำพาบ้านเมืองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์

เพราะความเยาว์เร่าร้อนของคนหนุ่มสาวนี่เองที่ถูกแทรกแซงและแทรกซึมด้วยอุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์ที่เข้ามาจัดตั้ง และหลงผิดกันว่านี่คือ แนวทางที่จะสร้างบ้านแปงเมืองไปเป็นสังคมอุดมคติแบบมาร์กซิสต์ เสียงเพลงหนักแผ่นดิน ปลุกเร้าคนในชาติดังขึ้น เพราะหากยอมให้เป็นไปเช่นนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในความหมายที่เรียกกันว่า พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ในวันนั้นธงแดงถูกชักขึ้นหน้าหอประชุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่าท้าทาย

เมื่อไม่สามารถหาทางออกที่ดีได้จึงกลายเป็นโศกนาฏกรรมของสังคมไทยในเหตุการณ์ 6ตุลาคม 2519

แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก

ผมเคยคุยกับคนหนุ่มสาวยุคนั้นว่า สิ่งที่พวกเขาต่อสู้แม้จะมีผลที่ดีในบางด้าน 14 ตุลาคม 2516 นำประเทศกลับมาสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่การแทรกซึมของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คิดจะถอนรากถอนโคนและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยแบบพลิกหน้ามือเป็นฝ่าเท้า ด้านหนึ่งมาจากความวัยเยาว์ของพวกเขา ซึ่งย่อมเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่คนถูกโค่นล้มจะไม่ลุกขึ้นสู้และคนเห็นต่างจะไม่ขัดขวาง การสูญเสียจึงเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง

แต่วันนี้เสียงเพลงหนักแผ่นดินดังขึ้นมาอีกครั้ง

แน่นอน หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งของยุคนี้ก็มีความเร่าร้อนไม่ต่างกับหนุ่มสาวยุคนั้น เขาต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองแบบถอนรากถอนโคน บริภาษหมิ่นแคลนวัฒนธรรมจารีตประเพณีของตัวเอง การริเริ่มความคิดไม่ใช่สิ่งที่ชั่วร้าย เขาอาจคิดว่าจะนำพาบ้านเมืองไปแนวทางที่ดีกว่า คนรุ่นเดียวกันที่มีพื้นฐานในช่วงวัยเดียวกันอาจจะเห็นด้วย มันยากนะที่เราจะห้ามปราม เพราะยากที่คนรุ่นนี้จะรับฟังเหตุผลของผู้ใหญ่นอกจากการหมิ่นแคลน

ไม่ว่าจะเป็นหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล เสรี วงษ์มณฑา เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นิติพงษ์ ห่อนาค กนก รัตน์วงศ์สกุล ฯลฯ แม้คนเหล่านี้จะเป็นคนรุ่นปู่รุ่นตารุ่นพ่อพวกเขาก็คงไม่อยากฟัง เสียงเตือนของเราคนเหล่านี้จึงถูกมองเป็นเสียงของคนที่หลงยุค และสบถในใจว่าพวกแกเป็นใครพ่อแม่ตัวเองยังไม่เชื่อเลย

หลายคนที่ผมรู้จักเล่าว่าลูกหลานของตัวเองก็ยืนยันว่า จะเลือกแนวทางนี้ แม้จะชี้แจงเหตุผลอย่างไรก็ไม่ฟัง สุดท้ายก็คงต้องปล่อยให้เขารอรับบทเรียนไป เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ยากจะคาดหวังผลกระทบเพราะไม่ใช่เรื่องของลูกหลานเราคนเดียวที่เราอาจจะคอยปลอบใจดูแลได้ แต่มันจะส่งผลกระทบที่กว้างต่อส่วนรวมและประเทศของเรา

ถ้ามันส่งผลที่ดีก็ดีไป แต่เราพร้อมแค่ไหนที่จะฝากประเทศชาติไว้ในคนที่มีจุดยืนเช่นนี้กับประเทศตัวเอง

ถ้าเราฟังเขาเราจะพบว่า สิ่งที่ธนาธรและพวกพูดออกมานั้นล้วนแล้วแต่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม เขาบอกว่า พิธีไหว้ครูเป็นพิธีที่ล้าหลัง เอาพิธีกรรมเจ้ายศเจ้าอย่างออกไปทั้งหมด มีเสียงคนในพรรคออกมาแก้ตัวตอนหลังว่า ธนาธรไม่ได้ให้ยกเลิกแต่พูดต่อว่า โรงเรียนอยากจะมีก็เป็นเรื่องของโรงเรียน

การไหว้ครูนั้นมันเป็นพื้นฐานวัฒนธรรมของสังคมที่สอนให้เราเคารพครูบาอาจารย์ ถ้าเราคิดว่าครูมีหน้าที่สอนสอนแล้วได้เงินเดือนไม่ต้องมีอะไรต่อกันก็คิดว่า พิธีไหว้ครูเป็นเรื่องล้าหลังแบบเจ้ายศเจ้าอย่างแบบธนาธรว่าแน่ แต่ถ้าเราตรองและคิดว่า การมีพิธีไหว้ครูนั้นได้อะไรบ้าง แล้วถ้าไม่มีพิธีไหว้ครูเราจะได้อะไรนอกจากไม่ต้องไหว้ครูเท่านั้นเอง

แต่คนรุ่นใหม่ก็คิดว่า ที่ธนาธรพูดนี่ใช่เลยจะไปไหว้ครูให้เสียเวลาทำไม คำพูดนี้มันโดนใจ

ไม่ผิดหรอกที่ธนาธรบอกให้เรารู้ว่าตัวเขาเองเป็นคนไม่มีศาสนา ธนาธรบอกว่าทุกคนมีพระเจ้าเป็นของตัวเอง และคุยกับพระเจ้าของตัวเองโดยไม่ต้องผ่านวัด โบสถ์หรือมัสยิด หรือบอกว่า สิ่งที่ผมเชื่อคือศรัทธาทางศาสนาควรเป็นศรัทธาที่เปิดกว้าง และไม่ควรมีวัดหรือศาสนา หรือองค์กรใดมาบังคับเชิดชูความเชื่อหนึ่งให้มากกว่าความเชื่ออื่น

คำถามว่า มันใช่เหรอ เรามีกรอบความเชื่อของศาสนามาห้ามไม่ให้เรามีความคิดอื่นหรือ เราจึงควรจะปฏิเสธวัดในความเป็นพุทธ ปฏิเสธโบสถ์ในความเป็นคริสต์ และปฏิเสธมัสยิดในความเป็นมุสลิม แล้วนี่มันเป็นความคิดของศาสดาองค์ใหม่หรือไม่

คนรุ่นใหม่ก็คงบอกว่าใช่มันโดน พิธีกรรมทางศาสนามันน่าเบื่อหน่าย ฉันมีความคิดของตัวเองคิดว่าอะไรดีไม่ดีก็พอแล้ว

ธนาธรบอกว่า รัฐไทยไม่ควรอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะมันทำให้ 3จังหวัดใต้แก้กันไม่จบ ผู้คนที่อยู่ใน3จังหวัดแง่หนึ่งก็เป็นพลเมืองชั้นสองเพราะไม่มีที่ยืนที่เท่าเทียมกันกับคนที่นับถือศาสนาพุทธ ผมคิดว่ารัฐไทยควรถอยตัวเองออกจากเรื่องศาสนา ไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาอะไรเลย

เมื่อความคิดนี้ถูกแพร่ออกไปว่า ธนาธรมีความคิดไม่ให้รัฐไทยอุปภัมภ์ศาสนาพุทธ มีการออกมาแก้ในภายหลังว่า เขาพูดว่าไม่ควรอุปถัมภ์ศาสนาอะไรเลย ถ้าฟังตามที่ยกมาก็ใช่เขาพูดอย่างนั้น แต่นัยของเขาก็อยู่ที่ศาสนาพุทธนั่นแหละถ้าเราอ่านบริบทการสัมภาษณ์ของเขาทั้งหมด

แต่มีใครถามกลับบ้างหรือให้เขาอธิบายว่าทำไมเขาจึงพูดเช่นนั้น ปัญหาภาคใต้เกิดจากรัฐไทยอุปถัมภ์พุทธศาสนาจริงหรือ คนมุสลิมใน3จังหวัดใต้เป็นพลเมืองชั้นสองไม่มีที่ยืนจริงหรือ แล้วถ้าทำอย่างนั้นมันจะแก้ปัญหา3จังหวัดใต้ได้จริงหรือ

ผมเชื่อเลยว่า ธนาธรอธิบายไม่ได้หรอก แต่คนรุ่นใหม่ฟังแล้วมันใช่มันโดนไง แต่ไม่คิดต่อหรอกว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร จะส่งผลเสียหรือไม่

ธนาธรบอกด้วยว่า ให้ถอนทหารออกจาก3จังหวัดภาคใต้ แล้วจะแก้ปัญหาสามจังหวัดใต้ได้ นี่เป็นคำพูดนะครับ มีใครถามต่อว่าทำไมการถอนทหารออกมาแล้วจะแก้ปัญหาสามจังหวัดใต้ได้ จริงๆ ก็เคยได้ยินคนพูดแบบนี้นะครับ มีการพูดต่อๆ กันมาแล้วธนาธรเอามาพูด แต่ก็ไม่มีใครอธิบายเป็นรูปธรรมได้ว่า ถอนทหารแล้วทำไมถึงแก้ได้

เรื่อง “ยิ้มสยาม” มีคนพูดไปมากแล้ว มันใช่หรือครับ เรายิ้มเพราะเราไม่มีจุดยืน แต่ผมคิดว่ายิ้มนี่แหละคือจุดยืนในความเป็นมนุษย์ของคนไทย มันจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายไปได้อย่างไร

จริงๆ เท่าที่ผมตามดูนโยบายของธนาธรมีหลายเรื่องนะครับที่มันยากจะทำได้จริง ซึ่งถ้าผมจะโทษกกต.ครับ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 258 บอกว่า นโยบายที่พรรคการเมืองนำเสนอ ต้องแสดงรายละเอียดต่างๆ เช่น วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงิน ความคุ้มค่าและประโยชน์ ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย มาตรการนี้ยังเขียนไว้ในพรป.พรรคการเมือง และแผนปฏิรูปประเทศด้วย แต่ได้ยินกกต.สัมภาษณ์ว่า ให้พรรคเสนอมาว่าจะทำนโยบายอะไรก็เพียงพอ ซึ่งผมคิดว่า สิ่งที่กกต.ทำอยู่นี้น่าจะขัดต่อกฎหมาย

เราทราบกันนะครับว่า ธนาธรนั้นเป็นนายทุนนิตยสารฟ้าเดียวกัน ซึ่งมีจุดยืนในการวิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์และมีแนวคิดในการลดทอนบทบาทและสถานะ แน่นอนว่า นิตยสารฉบับนี้วางแผงโดยเปิดเผยที่ฝ่ายธนาธรเอามาโต้แย้ง แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่ามีจุดยืนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร

ปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคนั้นมีจุดยืนในการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ให้ไปใช้กฎหมายเหมือนบุคคลธรรมดา หรือมีแนวคิดห้ามพระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสต่อสถานะ แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่นโยบายของพรรค แต่มีคำถามว่า ถ้าพรรคนี้มีเสียงข้างมากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แนวความคิดนี้จะถูกนำมาใช้ไหม ดูเหมือนจะมีคำถามอยู่บ้าง แต่คำตอบก็ยังไม่ชัดเจน

คนรุ่นใหม่หลายคนอาจไม่ทันคิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญอย่างไรหรือมีความจำเป็นไหมต่อสังคมไทย ทำไมเราถึงเรียกพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งว่า พ่อของแผ่นดิน

วันนี้เราห้ามความรักของเขาต่อ “พ่อ” คนใหม่ไม่ได้ เราคงทำได้แต่ให้ทุกอย่างเป็นบทเรียนที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้ แล้วเราคอยซับน้ำตาในฐานะที่เขาเป็นลูกหลานของเราและเก็บรับความเจ็บปวดร่วมกับเขาในอนาคต

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น