สถานการณ์การเมืองร้อนระอุขึ้นมาทันที หลังการวิวาทะระหว่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยกับพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก
วิวาทะที่ดุเดือดเกิดขึ้น จากการหาเสียงของคุณหญิงสุดารัตน์ ซึ่งเสนอตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 10% และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และถูกตอบโต้ด้วยปฏิกิริยาที่แข็งกร้าวของพล.อ.อภิรัชต์ โดยหยิบยกเพลง “หนักแผ่นดิน” ขึ้นมา ขณะที่สถานีวิทยุเครือข่ายกองทัพบกนับร้อยสถานี เปิดเพลงหนักแผ่นดินกระหึ่มเกือบทั้งวันแต่พล.อ.อภิรัชต์ก็ถูกโต้กลับอย่างไม่ลดราวาศอกจากฝั่งของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งย้อนให้พล.อ.อภิรัชต์ฟังเพลงหนักแผ่นดิน และยังวิพากษ์ถึงความร่ำรวยของพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งเป็นบิดา
และเย้ยหยันพล.อ.อภิรัชต์ว่า เป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืน
ขณะที่พลพรรคนายทักษิณ ชินวัตร ออกมาเรียกร้องให้พล.อ.อภิรัชต์ วางตัวเป็นกลางทางการเมือง
เป็นที่รับรู้ว่า พล.อ.อภิรัชต์สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด ทุ่มเทอย่างสุดตัว การตอบโต้คุณหญิงสุดารัตน์ เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน พร้อมจะปกป้องรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์
ปัญหาที่น่าคิดคือ ถ้าหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.อภิรัชต์จะกำหนดท่าทีของกองทัพอย่างไร
การเลือกตั้งที่กำลังเริ่มนับถอยหลังสู่วันที่ 24 มีนาคมนี้เข้มข้นอย่างยิ่ง เพราะก่อนการเลือกตั้งก็เกิดศึกช้างชนช้างขึ้นมาแล้ว ระหว่างคนที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามพล.อ.ประยุทธ์กับ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ซึ่งเลือกข้างพล.อ.ประยุทธ์เต็มตัว
หลังการเลือกตั้ง ถ้าหากพรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้ และพล.อ.ประยุทธ์หมดสิทธิ์ที่จะกลับมาสืบทอดอำนาจ จะเกิดอะไรขึ้น เป็นสิ่งที่น่าจับตา
พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในฐานะที่แพ้ไม่ได้ และกำลังทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้ชัยชนะ โดยเดินสายเก็บคะแนนนิยมชนิดลืมหลับลืมนอน ทุ่มเงินในโครงการประชารัฐไม่อั้น ใช้ทุกกลไกและทุกช่องทาง เพื่อชิงความได้เปรียบในการหาเสียง โดยไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น
การยื่นขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณายุบพรรคพลังประชารัฐ ที่เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ยังเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยหยิบยกกรณีพรรคไทยรักษาชาติมาเปรียบ คงไม่อาจสกัดกั้นเส้นทางการสืบทอดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ได้
และชะตากรรมทางการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์ คงต้องตัดสินกันในวันที่ 24 มีนาคมนี้ ซึ่งจะเป็นสงครามระหว่างพรรคเพื่อไทย ตัวแทนของ “ทักษิณ” ซึ่งมีมวลชนคนเสื้อแดงสนับสนุน กับพรรคพลังประชารัฐที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ โดยมีกองทัพสนับสนุน
ส่วนพรรคการเมืองอื่น รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ อาจเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น
การระดมสรรพกำลัง ใช้ความได้เปรียบทุกช่องทาง ทำให้พรรคพลังประชารัฐเริ่มแรงขึ้นในช่วงโค้งท้ายๆ โดยเฉพาะเมื่อพรรคไทยรักษาชาติ สาขาของพรรคเพื่อไทย กระทำเรื่องมิบังควร จนมีอันต้องเป็นไป
ถูกสังคมรุมประณาม และอาจถูกยุบพรรค ทำให้พรรคพลังประชารัฐมีโอกาสมากขึ้น
แต่มวลชนคนเสื้อแดง ฐานคะแนนของพรรคเพื่อไทยก็เหนียวแน่น ไม่ยอมเปลี่ยนข้าง ไม่ยอมปันใจให้ใครอื่น และยังรักนายทักษิณอยู่เหมือนเดิม และอาจทำให้พล.อ.ประยุทธ์ฝันสลายได้เหมือนกัน
ถ้าพรรคพลังประชารัฐกวาดที่นั่ง ส.ส.ได้มากพอจนจัดตั้งรัฐบาลได้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาสืบทอดอำนาจอาจสมดังความตั้งใจ กองทัพคงไม่มีปัญหา พล.อ.อภิรัชต์คงไม่ต้องปรับเปลี่ยนท่าทีแต่อย่างใด เพราะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์อยู่แล้ว
แต่ถ้าพรรคพลังประชารัฐกวาด ส.ส.ได้ไม่สมราคาคุย กลายเป็นพรรคขนาดจิ๋ว หมดสิทธิ์และไม่มีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์สิ้นบุญวาสนาทางการเมือง โดยพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง
และคุณหญิงสุดารัตน์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สอง กองทัพจะวางตัวอย่างไร พล.อ.อภิรัชต์จะต้องปรับท่าทีหรือไม่
เพราะวิวาทะที่ร้อนระอุกับคุณหญิงสุดารัตน์อาจถูกรื้อฟื้นมาคิดบัญชีกัน ถ้าพล.อ.อภิรัชต์ไม่เปลี่ยนท่าทีไปเสียก่อน
สถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้ง อาจร้อนฉ่ายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ เพราะอาจเกิดการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับกองทัพ และระหว่างนายกรัฐมนตรีคนใหม่กับ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน
ฟังเพลงหนักแผ่นดินที่เครือข่ายวิทยุทหารเปิดดังกระหึ่มวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้ว ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ช่วง 6 ตุลาคม 2519 ก่อนที่ทหารจะลุกขึ้นมายึดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ จนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องหนีกันกระเจิดกระเจิง