xs
xsm
sm
md
lg

“มารดาประชารัฐถ้วนหน้า-มารดาประชาธิปัตย์” แค่หาเสียง หรือ เป็นไปได้จริง?

เผยแพร่:   โดย: ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และวศิน แก้วชาญค้า

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
ผู้อำนวยการหลักสูตร Ph.D. และ M.Sc. (Business Analytics and Data Science)
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
และ
นาย
นักวิทยาการข้อมูล ศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


ผมเห็นสองพรรคการเมืองคือพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐนำเสนอนโยบายที่คล้ายกันมากเหลือเกิน เป็นนโยบายประชานิยม (Populist) แบบสวัสดิการสังคม (Social welfare) พรรคประชาธิปัตย์หาเสียงโดยจะให้เงิน เกิดปุ๊บรับเงินแสน ให้เดือนละ 1,000 บาทไปจนครบ 8 ปีแบบถ้วนหน้าเพื่อพัฒนาการเด็กไทย (คิดเป็นเงินรวม 96,000 บาทต่อเด็กเกิดใหม่หนึ่งคน)

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐออกนโยบายมารดาประชารัฐถ้วนหน้า เป็นสินค้าลอกเลียนแบบ และกล่าวว่าพรรคพลังประชารัฐนั้นลอกเลียนนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ที่คิดนโยบายนี้มาแล้วห้าปี และตลอดมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็กล่าวว่านโยบายนี้ของพรรคประชาธิปัตย์นั้นทำไม่ได้แน่ ๆ จะเอาเงินมาจากไหน แต่พรรคพลังประชารัฐกลับสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี



สำหรับนโยบายมารดาประชารัฐถ้วนหน้าของพรรคพลังประชารัฐที่ใช้หาเสียงในขณะนี้นั้น จะให้ค่าตั้งครรภ์รับเดือนละ 3,000 บาท สูงสุด 27,000 บาท ค่าคลอด 10,000 บาท และค่าดูแลเด็กเดือนละ 2,000 บาทจนเด็กอายุหกขวบ (ได้ไป 144,000 บาท) คิดเป็นเงินรวม 181,000 บาทต่อเด็กเกิดใหม่หนึ่งคน

เพื่อให้จดจำโครงการของพรรคประชาธิปัตย์ได้ง่าย ขอตั้งชื่อ มารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้า

เรามาคำนวณเงินงบประมาณแผ่นดินสำหรับมารดาประชารัฐถ้วนหน้า และมารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้ากันดูครับ

วิธีในการคำนวณเงินที่ต้องใช้ในอนาคตนี้ ใช้วิธีการทางวิทยาการประกันภัย (Actuarial science) ที่เรียกว่าการประเมินทางคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuarial valuation) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ (Public policy analysis) ที่ก่อให้เกิดภาระผูกพันในระยะยาว (Long-term obligation) ที่เกี่ยวข้องกับประชาชน (ประชากร) เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าดูแลบุตร กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นต้น โดยเป็นวิธีการที่บูรณาการระหว่าง 1. ประชากรศาสตร์ (Demography) โดยเฉพาะการสร้างตารางมรณะ (Mortality table) ซึ่งคำนวณความสัมพันธ์ระหว่างอายุ เพศ และอัตราการอยู่รอด (Survival rate) และการฉายภาพประชากร (Demographic projection) ไปในอนาคต 2. สถิติศาสตร์ เพื่อพยากรณ์และกำหนดอัตราการเติบโตต่างๆ ในอนาคต และ 3. การเงิน เพื่อให้สามารถคำนวณภาระทางการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

ข้อตกลงเบื้องต้น (Assumptions) ของการประเมินทางคณิตศาสตร์ประกันภัย มารดาประชารัฐถ้วนหน้า และ มารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้า มีดังนี้

1.กำหนดอัตราการตายและการอยู่รอดของเด็กไทยเพศชายและเพศหญิง ใช้ตามตารางมรณะของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับกิจการประกันภัย (คปภ) ซึ่งประกาศใช้ล่าสุดปี 2561

2.กำหนดให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ของไทยในแต่ละปีมีจำนวนคงที่ (666,109) เพราะโครงการมารดาประชารัฐถ้วนหน้าและมารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้าน่าจะช่วยกระตุ้นไม่ให้จำนวนประชากรเด็กเกิดใหม่ลดลง

3.หักจำนวณเด็กเกิดใหม่ในแต่ละปีออกด้วยจำนวนเด็กที่เสียชีวิตตามอัตราการตายและการอยู่รอดในข้อ 1. ทำให้ได้จำนวนเด็กที่มีอายุ 0-6 ปี (มารดาประชารัฐถ้วนหน้า) และ 0-8 ปี (มารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้า) โดยกำหนดว่าให้สิทธิ์เฉพาะเด็กที่เกิดหลังปี 2561 เป็นต้นไป และไม่มีเด็กไทยอพยพออกไปอยู่ต่างประเทศในช่วง 0-8 ปี และฉายภาพไป 20 ปี ข้างหน้า

4.คำนวณงบประมาณที่ต้องจ่ายในแต่ละปีจากจำนวนเด็กที่มีสิทธิ์ได้รับเงินในข้อ 3.

ผลการวิเคราะห์พบว่าสำหรับมารดาประชารัฐถ้วนหน้า จะค่อย ๆ มีจำนวนเด็กในระบบเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีจากหกแสนเกือบเจ็ดแสนในปี 2562 ไปแตะที่ประมาณสี่ล้านคนในปี 2567 และจะคงที่ไปตลอดอีก 20 ปีข้างหน้า

สำหรับมารดาประชารัฐถ้วนหน้า จะต้องจ่ายเงินตั้งครรภ์ 9 เดือน เดือนละ 3,000 บาท และใช้เงินในแต่ละปีคงที่เท่ากับ 17,984,943,000 บาท จ่ายเงินค่าทำคลอดรายละ 10,000 บาท คงที่ปีละ 6,661,090,000 บาท จ่ายค่าดูแลเด็กเดือนละ 2000 จนครบหกขวบ รวมเป็นเงินในปีแรกเท่ากับ 15,967,534,290 บาท รวมค่าใช้จ่ายมารดาประชารัฐถ้วนหน้าในปีแรก 40,613,567,290 บาท และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 120,393,119,399 บาทในปีที่ 7

สำหรับโครงการมารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้า พบว่าจะจะค่อย ๆ มีจำนวนเด็กในระบบเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปีจากหกแสนเกือบเจ็ดแสนในปี 2562 ไปแตะที่ประมาณห้าล้านสามแสนคนในปี 2569 และจะคงที่ไปตลอดอีก 20 ปีข้างหน้า (จำนวนเด็กในระบบของมารดาประชาธิปัตย์จะมากกว่าเนื่องจากจ่ายให้ต่อเนื่องเพื่อพัฒนาการของเด็กไทยไป 8 ปี)

ในปีแรก โครงการมารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้า จะใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน 7,983,767,145 บาท และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุก ๆ จนกว่าจะคงที่ในปีที่ 8 และใช้เงินงบประมาณแผ่นดินปีละ 63,816,985,603 บาท

ข้อดีของประชานิยมทั้งมารดาประชารัฐถ้วนหน้าและมารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้าคือ เป็นโครงการที่มีงบประมาณปลายปิดพอสมควร เนื่องจากจ่ายเงินให้คงที่และจ่ายไปจนอายุ 6 ขวบหรือ 8 ขวบ แม้จะมีภาระผูกพันทางการเงินต่อภาครัฐแต่ก็ยังอยู่ในขั้นที่ควบคุมได้พอสมควร หากไม่มีการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างมหัศจรรย์และไม่ได้ให้สิทธิ์นี้แก่เด็กที่เป็นลูกของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ข้อนี้ถือว่าดีมาก ไม่ถึงกับจะเป็นภาระหนักมากเมื่อเปรียบเทียบกับประชานิยมที่ใช้งบประมาณปลายเปิดอย่างโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้นทุกปี ตกปีละหนึ่งหมื่นล้านบาท และขณะนี้เหยียบสองแสนล้านบาทต่อปีแล้ว และยังจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไปไม่มีหยุด

ปัญหาที่น่ากังวลคือหากมีการให้สิทธิมารดาประชารัฐถ้วนหน้าหรือมารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้าแก่ลูกของแรงงานต่างด้าวเช่น พม่า เขมร เวียดนาม หรือ ชาติอื่น ๆ จะทำให้เกิดความนิยมแพร่หลายในกลุ่มแรงงานอพยพที่ต้องการคลอดและมีลูกในประเทศไทยเพื่อให้ได้สัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือไม่ ?

ในสหรัฐอเมริกา แรงงานต่างชาติหรือผู้อพยพ โดยเฉพาะ Mexican นิยมมีลูกอย่างรวดเร็วเพื่อให้ตนเองได้สิทธิ์อยู่ต่อดูแลพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด คน Mexican ไปไหนเป็นครอบครัวจะเข็นเปลเรียงเป็นตับ มีลูกเธอ ลูกฉัน และลูกเรา ยาวเหยียด เพราะช่วยให้ได้อยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อไปและได้เงินค่าเลี้ยงดูลูกเป็นของแถมพกด้วย แต่ตอนหลัง Donald Trump ให้พรากพ่อแม่ออกจากลูกให้ส่งกลับประเทศต้นทางเหมือนกัน เรื่องนี้ก็จะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต

สำหรับมาเลเซียนั้น หากแรงงานต่างด้าวตั้งครรภ์ นโยบายภูมิบุตรา จะส่งหญิงแรงงานต่างชาติตั้งครรภ์กลับประเทศทันทีเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมและป้องกันปัญหา ทำให้แรงงานต่างด้าวในมาเลเซียมีอัตราการตั้งครรภ์ต่ำมาก

เราลองใช้การประเมินทางคณิตศาสตร์ประกันภัยเพื่อคำนวณเงินและความเป็นไปได้ของโครงการมารดาทั้งสองมารดาแล้ว เงินที่ใช้ก็มากพอสมควรอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับเงินงบประมาณแผ่นดินของประเทศที่ตั้งงบประมาณแผ่นดินขาดดุลมายาวนานนับสิบปีและมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งเพิ่มขึ้นจนจะเกินเพดานได้ในไม่ช้า




ปัญหาที่น่าขบคิดมากที่สุดอีกประการหนึ่งคือโครงการมารดาประชารัฐถ้วนหน้า และโครงการมารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้า จะช่วยยกระดับพัฒนาการของเด็กไทยได้จริงดังที่โฆษณากันไว้หรือไม่ พัฒนาการของเด็ก น่าจะแบ่งออกเป็นสี่ด้านโดยคร่าว ๆ คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เราคงต้องถามว่าโครงการมารดาทั้งสองจะยกระดับพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้ดีขึ้นก่อนมีโครงการได้มากแค่ไหน ซึ่งต้องออกแบบการประเมินผลโครงการ (Project/program evaluation) อย่างรัดกุม เช่น การออกแบบการทดลองแบบกึ่งทดลองในลักษณะของอนุกรมเวลา (Interrupted time series experiment) เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าเม็ดเงินที่ลงไปคุ้มค่าแค่ไหนสำหรับประเทศชาติและประชาชน แต่การออกแบบการประเมินผลโครงการดังกล่าวทำได้ยากยิ่ง เช่น นักจิตวิทยาพบว่าทุกๆ สิบปี คะแนนแบบทดสอบเชาวน์ปัญญาของมนุษย์มีแนวโน้มจะมีค่าสูงขึ้นเสมอ เรียกว่า Flynn effect เพราะสังคมและการศึกษามีการยกระดับและพัฒนาขึ้น

เราคงต้องคิดและศึกษากันให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจทำโครงการมารดาทั้งสองที่ใช้หาเสียงกับประชาชนเช่นนี้ เพราะ ไม่ว่ามารดาประชารัฐถ้วนหน้า หรือ มารดาประชาธิปัตย์ถ้วนหน้า ต่างก็ใช้เงินภาษีอากรของประชาชนตาดำ ๆ หาใช้เงินมารดานักการเมืองพรรคใด ๆ ก็หาไม่ ต้องคิดให้รอบคอบอย่างแท้จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น