xs
xsm
sm
md
lg

40 ปีปฏิวัติอิหร่าน...ใครคือผู้ล้มเหลว???

เผยแพร่:   โดย: 40 ปีปฏิวัติอิหร่าน...ใครคือผู้ล้มเหลว???


วันนี้...เห็นทีคงต้องแฉลบไปแถวๆ ประเทศอิหร่านดูสักหน่อย เพราะช่วงวันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบ 40 ปี “การปฏิวัติอิสลาม” ของอิหร่านเขา ส่วนจะเป็น “40 ปีแห่งความล้มเหลว” อย่างที่ “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกัน ตลอดไปจน “ไอ้หนวดอำมหิต-จอห์น โบลตัน” ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ถึงกับต้องออกมา “ทวีต” ด่าประเทศคู่กัด คู่อาฆาตของตัวเองเอาไว้ในช่วงครบรอบ หรือจะเป็น “40 ปีแห่งความล้มเหลวของอเมริกา” ที่ไม่สามารถเล่นงาน โค่นล้มระบอบปกครองอิสลามของอิหร่านได้เลย อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายจาวาด ซารีฟ” (Javad Zarif) ท่านได้ลุกขึ้นมาออกอาวุธโต้ อันนั้น...คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน...

แต่อย่างน้อย...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า แม้ว่ามหาอำนาจสูงสุดของโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา บวกกับพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกาอย่างอิสราเอล รวมไปถึงพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย จะพยายามผนึกกำลังกัน เพื่อไล่ล่า ไล่บด ไล่บี้ ประเทศอิหร่านเขามาโดยตลอดร่วมๆ 40 ปี ไม่ว่าจะในทางการเมือง เศรษฐกิจ ปฏิบัติการจิตวิทยา หรือด้วยคำพูด-คำจา แต่ก็ยัง “เอาอิหร่านไม่ลง” จนตราบเท่าทุกวันนี้ ยิ่งถ้าคิดจะหันไปใช้กำลัง หรือใช้กรรมวิธีทางทหาร แบบที่เคยบุกเล่นงาน “ซัดดัม ฮุสเซน” แห่งอิรักซะราบคาบมาก่อนหน้านี้ มาถึง ณ ขณะนี้...ต้องเรียกว่า แทบไม่มีโอกาสเห็นแสงตะเกียงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะ “อิหร่านวันนี้” กับอิหร่านเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ต้องถือว่าผิดแผกแตกต่างกันแบบคนละเรื่อง คนละม้วน โดยเฉพาะในแง่ “การทหาร” จนทำให้ความพยายามกระทำการในสิ่งที่เรียกๆกันว่า “การขจัดภัยคุกคามอิหร่าน” ของอเมริกา-อิสราเอล-และซาอุฯ ยิ่งเป็นอะไรที่มืดมนลงไปทุกที...

สำหรับใครที่เคยมีโอกาสได้อ่านหนังสือว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับ “ภูมิรัฐศาสตร์” ของบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกนี้ ที่ใช้ชื่อว่า “Prisoners of Geography” เขียนโดยนักหนังสือพิมพ์รุ่นเก๋าชาวอังกฤษอย่าง “นายทิม มาร์แชล” (Tim Marshall) ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์เผยแพร่ไปเมื่อปี ค.ศ. 2015 คงพอหลับตานึกภาพได้บ้างว่า...เหตุใดการ “บุกอิหร่าน” มันจึงไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ ง่ายๆ แม้จะโดยกองทัพที่มีศักยภาพสูงสุดในโลกอย่าง “กองทัพอเมริกัน” ก็ตาม คือด้วยเหตุทางภูมิศาสตร์ หรือภูมิรัฐศาสตร์นั่นเอง ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ “ระบอบปกครองอิหร่าน” หรือรัฐอิสลามของอิหร่าน ยังสามารถอยู่ยั้ง ยืนยง มาได้ร่วม 40 ปีเข้าไปแล้ว ไม่ถูกรื้อ ถูกถอน ถูกทำลาย เหมือนอย่าง “ระบอบปกครองอิรัก” ของ “ซัดดัม ฮุสเซน” ที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่คืบ กี่ศอก...

คือด้วยเหตุเพราะ “ธรรมชาติ” ท่านได้สร้าง “แนวป้องกัน” ประเทศอิหร่านเอาไว้ถึง 4 ด้านด้วยกัน ไล่มาตั้งแต่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือไปจนถึงตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีเทือกเขา “Zagros” สูงโด่เด่ยาวเหยียดถึง 900 ไมล์ กั้นพรมแดนตั้งแต่ตุรกีไปยันอิรัก แถมด้านใต้ยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ไป-มาลำบาก ซึ่งรู้จักกันในนาม “Shatt al-Arab” ปิดท้ายไปจนจรดทะเลอาหรับ ส่วนด้านเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ มีเทือกเขา “Elburz” ทอดยาวเหยียดตั้งแต่ช่วงพรมแดนประเทศอาร์เมเนีย ไปจนจรดทะเลสาบแคสเปียน กั้นพรมแดนเติร์กเมนิสถานไปจนสุดชายแดนอัฟกานิสถาน ไม่ว่าเจอกับการบุกของพวก “มองโกล”ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1219-21 มาจนถึงปี ค.ศ. 1980 ที่กองทัพ “ซัดดัม” ของอิรัก พยายามฝ่าพื้นที่ชุ่มน้ำ “Shatt al-Arab” ปีนข้ามเทือกเขา “Zagros” ใน “สงครามอิหร่าน-อิรัก” แต่ล้วนต้องเอาชีวิตผู้คนมาสังเวยนับเป็นแสนๆ ล้านๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ถึงแม้จะเป็น “เครื่องจักรสังหาร” อย่างกองทัพอเมริกันก็เถอะ...การ “บุกทะเลทราย” เข้าไปในอิรัก กับ “การปีนภูเขา” เข้าไปในอิหร่าน มันออกจะยากลำบากกว่ากันไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า และอาจด้วยเหตุนี้...ที่ทำให้กองทัพอเมริกันเลยได้แต่ล้อมกรอบ ปิดล้อมอิหร่านอยู่ห่างๆ โดยเฉพาะในช่วงที่กองทัพอเมริกันบุกเข้ายึดประเทศอิรัก อัฟกานิสถาน และพยายามแผ่อิทธิพล บารมีไปถึงบรรดาประเทศ “สถานๆ” ทั้งหลายในเอเชียกลาง แต่หลังจากอำนาจ อิทธิพลของกองทัพอเมริกันในพื้นที่ดังกล่าว ค่อยๆ เสื่อมลงๆ ไปตามลำดับ แม้แต่ความพยายามยึดซีเรียเพื่อใช้เป็นปากประตูบุกเข้าสู่อิหร่าน ก็ดัน “เจ๊ง” ลงไปซะก่อน กลับเป็นอิหร่านเองนั่นแหละ ที่ไม่เพียงแต่ได้คลายแรงกดดันจากการปิดล้อม ยังสามารถแผ่อิทธิพลบารมีย้อนกลับ ลามเข้าไปในอิรัก ในอัฟกานิสถาน ซีเรีย เยเมน ไปจนถึงเลบานอนโน่นเลย หวิดๆ ใกล้จะช่วยทวงคืน “ที่ราบสูงโกลัน” ของซีเรียจากการยึดครองของอิสราเอล ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้...

ส่วนจะหันไปใช้ “กำลังทางอากาศ” ด้วยการบินไปบอมบ์ ไปทิ้งระเบิดใส่โรงงานนิวเคลียร์ หรือจุดสำคัญๆ ทางทหารก็แล้วแต่ ก็คงไม่อาจโค่นล้มทำลายระบอบปกครองอิหร่านได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตราบใดที่ไม่ได้มีการ “บุกภาคพื้นดิน” เข้าซ้ำเติม โดยเฉพาะคู่กัดคู่อาฆาตของอิหร่าน อย่างอิสราเอลที่เคยทำท่าเงื้อๆ ทำนองนี้เอาไว้ก่อนหน้านี้ เพราะระยะห่างระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านนั้น ยาวไกลเกือบ 1,000 ไมล์ ไม่เพียงต้องเสียเวลาบินข้ามน่านฟ้าของประเทศจอร์แดนกับอิรัก ต้องเติมน้ำมันกลางอากาศ ยังอาจ “เสียลับ” เอาง่ายๆ จนอาจต้องเจอกับ “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ” ของอิหร่าน ที่ถูกพัฒนาจนระดับใกล้น้องๆ S-300, S-400 ของรัสเซียเข้าไปทุกที ยิ่งไปกว่านั้น...ยังทำให้อิหร่านมีสิทธิ์ “ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย” นั่นก็คือการมีเวลาเพียงพอที่จะ “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งมีความกว้างเพียงแค่ 21 ไมล์เท่านั้น แต่สามารถส่งผลให้ปริมาณน้ำมันประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของโลก ต้องหายวับไปกับตา หรือหายไปจากตลาดโลกได้แบบฉับพลัน-ทันที...

และอย่างที่ว่าไว้แล้วว่า...อิหร่านวันนี้ กับอิหร่านเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ต่างกันไปแบบคนละเรื่อง-คนละม้วน จากยุคที่เคยรบกับ “ซัดดัม” มานานถึง 8 ปี ยังเอาแพ้-เอาชนะกันไม่ได้ แต่มาถึงทุกวันนี้...อาจด้วยเหตุเพราะอดีตคู่ต่อสู้อย่างอิรัก เกิดอาการม่อยกระรอกเอาง่ายๆ เมื่อเจอกับแสนยานุภาพของ “กองทัพอเมริกัน” การหันมาทุ่มเทพัฒนากำลังทหารของอิหร่านจึงเป็นไปแบบก้าวกระโดด ชนิดสามารถผลิตรถถัง รถหุ้มเกราะ จรวด เรดาร์ เรือผิวน้ำ เรือดำน้ำ เครื่องบินไร้คนขับ ไปจนถึงจรวดนำวิถีนานาชนิดด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นจรวด “Shahab” ที่ถูกยกระดับตั้งแต่ Shahab-1 ไปจนถึง Shahab-2, 3, 3d, 4, 5 ไปจนถึง Shahab 6 ไปแล้ว ณ บัดนี้ เพิ่มรัศมีทำการไปไกลถึง 5,470-5,500 กิโลเมตร เครื่องบินไร้คนขับ หรือ UAV และ UCAV ก็สามารถบินไกลในระยะ 2,000 กิโลเมตร บนความสูง 25,000 ฟุต บินได้นาน 24-30 ชั่วโมง พร้อมที่จะขนระเบิด ขนจรวดนำวิถีไปทิ้งใส่หัวใครต่อใครได้เสมอ ขณะที่กำลังพล “กองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม” (Army of the Guardians of the Islam Revolution) ก็ปาเข้าไปถึง 815,000 นายเป็นอย่างน้อย ถูกจัดอันดับให้เป็นกองทัพที่มีแสนยานุภาพอันดับ 13 ของโลก จากจำนวน 136 ประเทศ ทิ้งห่างอิสราเอลที่อยู่อันดับ 16 และซาอุฯ ที่อยู่อันดับ 26 หลายช่วงตัว...

สรุปรวมความแล้ว...แทบต้องเรียกว่า “ปิดฉาก” หรือ “เก็บฉาก” ไปได้เลย สำหรับการคิดเปลี่ยนระบอบการปกครอง 40 ปีของอิหร่าน หรือ “ขจัดภัยคุกคามอิหร่าน” เหลือแต่หนทางเดียวเท่านั้น ที่อาจจะ “เวิร์ค” อยู่บ้าง นั่นคือทางเดียวกับที่กำลังใช้อยู่ใน “เวเนซุเอลา” ทุกวันนี้นั่นเอง ด้วยการหันไปเคี่ยวเข็ญทรมานประชาชนผู้ไม่รู้อีโหน่ อีเหน่ให้หนักๆ เข้าไว้ ด้วยเครื่องมือทางเศรษฐกิจ หรือกลไกทางการเงิน เพื่อให้เกิดการ “ลุกฮือ” ขึ้นมาจากภายใน พร้อมๆ กับการสถาปนา “รัฐบาลหุ่น” ขึ้นมาแทนที่???
กำลังโหลดความคิดเห็น