xs
xsm
sm
md
lg

นีโอ-คอนฯ...กับนโยบายอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา
ว่ากันเรื่องเวเนซุเอลาซะยาวเหยียดชนิดข้ามสัปดาห์และเกือบจะครบสัปดาห์นี้เข้าไปแล้ว...เพื่อให้หายเบื่อ หายเอียนลงไปมั่ง ปิดท้ายสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตบินไป “เก็บฉาก” ที่อเมริกา ซึ่งกำลังเตรียมขม้ำหัวประเทศที่อยู่บริเวณสวนหลังบ้านของตัวเองอย่างประเทศเวเนซุเอลา ชนิดกระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ เพราะเมื่อช่วงวันอังคาร (5 ก.พ.) ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” เขาได้จังหวะกระทำพิธีกรรม “การแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา” หรือที่เรียกๆ กันว่า “State of the Union” หรือเรียกย่อๆ ว่า “SOTU” อะไรประมาณนั้น...

คืออันที่จริง...เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมากมาย เพราะโดย “การกระทำ” ของ “ทรัมป์บ้า” ที่ “บ้ามาโดยตลอด” หรือ “บ้าอย่างสม่ำเสมอ” นั้น ถือเป็นตัวอธิบายอะไรต่อมิอะไรได้ชัดเจนซะยิ่งกว่า “คำพูด” หรือ “คำแถลงนโยบาย” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่ก็อย่างว่า...สังคมอเมริกันนั้น เขาออกจะ “ดรามา” เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ จนถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต เป็นเรื่องที่ต้องมีพิธีกรรม พิธีการ มีการถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งอเมริกา และทั่วทั้งโลกตามไปด้วย บรรดาชาวโลกที่ถูกครอบงำโดย “สื่อกระแสหลัก” ของตะวันตก เลยพลอยฮือๆ ฮาๆ ไปกะเขาด้วย ทั้งที่แทบไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่เอาเป็นว่า...ใครที่อยากจะรับรู้ รับทราบ รายละเอียดของสิ่งเหล่านี้ คงต้องลอง “คลิก” ไปอ่านข้อเขียน บทความ เรื่อง “ทรัมป์ได้วาระคุยฟุ้งอีกรอบ” ของคุณพี่ “โสภณ องค์การณ์” ในคอลัมน์ “มองต่างแดน” ที่อยู่ข้างๆ เอาเองก็แล้วกัน...

แต่ถ้าจะว่ากันโดยสรุปรวมความแล้ว...ผู้ที่น่าจะให้ข้อสรุปถึงสิ่งต่างๆ ที่ผู้นำอเมริกันได้แถลงเอาไว้ชนิดยาวเหยียดอีเหลนเป๋น ได้อย่างสั้นที่สุดและชัดเจนที่สุด ก็น่าจะเป็นนักวิเคราะห์ด้านนโยบายชาวอเมริกันด้วยกันเอง อย่าง “นายจิม จาทรัส” (Jim Jatras) อดีตนักการทูตสหรัฐฯ ที่ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” หลังจากนั้น โดยสรุปเนื้อหาทั้งหมด ทั้งมวลของคำแถลงนโยบายประธานาธิบดีอเมริกันเอาไว้สั้นๆ ด้วยคำพูดที่ว่า “pouring old neo-con wine into a new American First rhetorical bottle” คือประมาณคล้ายๆ การรินเหล้าเก่าๆ หรือไวน์เก่าๆ ของพวก “นีโอ-คอนฯ” หรือพวก “ขวาใหม่” ลงไปในขวดซึ่งถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาใหม่ ด้วยถ้อยคำ โวหาร ประเภท “อเมริกามาก่อน” อะไรทำนองนั้นนั่นแล...

อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจ และน่าไปติดตามกันดูสักหน่อย ว่าไอ้พวกที่เขาเรียกๆกันว่า “นีโอ-คอนฯ” หรือ “ขวาใหม่” ในอเมริกานั้น มันมีที่มา-ที่ไปในแบบไหน อย่างไร ถึงได้ถูกหยิบมาพูดมากล่าวถึงอยู่บ่อยๆ ในแวดวงการเมืองอเมริกัน ไม่ว่ายุคไหนต่อยุคไหน หรือไม่ว่ารัฐบาลไหนต่อรัฐบาลไหน จะเป็นรีพับลิกันหรือเดโมแครตก็ตามที เผื่อว่าอาจช่วยเพิ่มความเข้าใจต่อบทบาท ท่าที หรือต่อนโยบายของประเทศอเมริกาที่มีต่อโลกใบนี้ขึ้นมาอีกสักเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าว่ากันแบบสั้นๆ ง่ายๆ สิ่งที่เรียกว่า “นีโอ-คอนฯ” หรือ “Neo-conservative” หรือพวก “ขวาใหม่” พวก “อนุรักษนิยมใหม่” ในอเมริกานั้น ไม่ว่าจะในแง่ “แนวคิด” หรือ “ตัวบุคคล” คงต้องถือเป็นผลผลิตอันที่มาจากสถาบัน หรือองค์กร 2 แห่งใหญ่ๆ นั่นก็คือองค์กรที่มีชื่อเรียกย่อๆ ว่า “CFR” หรือ “Council on Foreign Relations” ที่เริ่มก่อตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 1920 โดยบรรดาอภิมหาเศรษฐีชาวอเมริกันและชาวอังกฤษ ที่ล้วนแล้วแต่ “เบ้งๆ” ไปด้วยกันทั้งนั้น กับองค์กรที่มีชื่อเรียกย่อๆ ว่า “AEI” หรือ “American Enterprise Institute” ที่เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 1982 โดยอดีตประธานาธิบดี “เจอรัลด์ ฟอร์ด” ร่วมกับบรรดาเพื่ออภิมหาเศรษฐีและเพื่อนผู้นำระดับโลกทั้งหลาย...

คือในแวดวงการเมืองอเมริกันนั้น...เขาถือว่าการกระทำการใดๆ ตามแบบที่เรียกว่า “การสมคบคิดโดยเปิดเผย” (The Open Conspiracy) ที่อดีตอภิมหานักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ อย่าง “นายเอช.จี.เวลส์” (Herbert George Wells) แกเคยเชื่อๆ ว่าเป็น “กรรมวิธี” ซึ่งสามารถนำไปสู่การจัดสร้าง “ระเบียบโลก” อันจะนำมาซึ่งสันติภาพ ความถูกต้อง ยุติธรรม ตามอุดมคติ อุดมการณ์เท่าที่แกเพ้อๆ ไปตามสไตล์นักคิด นักเขียนนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เพียงแต่ไม่ได้น่าเกลียด น่ากลัว อะไรแล้ว ยังน่าสนับสนุนส่งเสริมซะอีกด้วยต่างหาก การจัดตั้งสถาบัน หรือองค์กร อย่าง “CFR” หรือ “AEI” เพื่อกระทำการใดๆ ในลักษณะที่ว่านี้ จึงถือเป็นเรื่องปกติที่อุบัติขึ้นมาในแวดวงการเมืองอเมริกันเกือบนับเป็นศตวรรษเอาเลยก็ว่าได้ ทั้ง “CFR” และ “AEI” จึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอเมริกัน รวมทั้งการเมืองของโลกทั้งโลกอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้โดยเฉพาะเมื่อบรรดา “สมาชิก” ขององค์กรทั้ง 2 มักถูกส่งเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลอเมริกันแต่ละยุค แต่ละสมัย มาโดยตลอด ไม่ว่าตั้งแต่รัฐมนตรีต่างประเทศ เศรษฐกิจ กลาโหม เอกอัครราชทูตในประเทศต่างๆ ไปจนกระทั่งผู้อำนวยซีไอเอ ฯลฯ โน่นเลย โดยนำเอาแนวคิด นโยบายที่สถาบันและองค์กรเหล่านี้ ได้ศึกษาค้นคว้า หรือ “จัดเตรียม” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า เข้าไปสอดแทรก หรือไปกำหนดเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกันแต่ละรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรีพับลิกันหรือเดโมแครต ก็ตามที...

บรรดาพวกที่ถูกเรียกๆ กันว่า “นีโอ-คอนฯ” ทั้งหลาย...ก็คือผู้ที่ล้วนแต่เคยเป็น “สมาชิก” ขององค์กรทั้งสองนี้มาก่อนนั่นเอง ไม่ว่าอดีตรองประธานาธิบดี “ดิ๊ก เชนีย์” ที่เคยเป็นสมาชิก “CFR” แล้วย้ายมาอยู่กับ “AEI” แล้วขนเอา “นายจอห์น โบลตัน” ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวทุกวันนี้ “นายแอลเลียต อับรามส์” ที่ถูกส่งไปแปรรูปรัฐวิสาหกิจในเวเนซุเอลาทุกนี้มาอยู่ด้วย ตามด้วยนักคิด นักวิชาการ นักการเมืองตัวดังๆ อย่าง “ดักลาส เฟธ” “ริชาร์ด เพิร์ล” “พอล วูลโฟวิตช์” และโดยเฉพาะ “เออร์วิง คริสทอล” นักคิด นักเขียนอเมริกันเชื้อสายยิว อดีตชาวยิวอพยพจากยุโรปตะวันออก ที่ได้ชื่อ ฉายา ว่า “เจ้าพ่อขวาใหม่” (Godfather of Neo-Conservative) มาช่วยประดิษฐ์คิดค้นแนวคิดที่ทำให้เกิดการปฏิรูปภายในพรรครีพับลิกัน ยุคที่กำลังถูกพวกคนรุ่นใหม่ชาวอเมริกัน หรือประเภทพวกฮิปปี้ทั้งหลายต่อต้าน เล่นงาน ระหว่างช่วง “สงครามเวียดนาม” นั่นเอง หรือทำให้ความเป็นขวาแบบเก่าๆ อนุรักษนิยมแบบเก่าๆ ถูกดัดแปลง ถูกหุ้มห่อด้วยแพกเกจจิ้งใหม่ๆ ให้ดูดีกว่าเดิมขึ้นมาได้มั่ง...

แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าจะขวาเก่า ขวาใหม่ แต่ถ้ามาจากองค์กรอย่าง “CFR” หรือ “AEI” แล้วล่ะก็ ล้วนแต่เหมือนๆ กัน หรือเป็นพวกเดียวกันไปด้วยกันทั้งสิ้น คือเป็นพวกที่มุ่งจะตอบสนองแนวคิดและผลประโยชน์ของบรรดาอภิมหาเศรษฐีที่เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรทั้งสองนี้ ซึ่งบรรดาอภิมหาเศรษฐีโดยส่วนใหญ่ ก็ล้วนแล้วแต่หนักไปทาง “ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว” นั่นเอง แนวคิดและนโยบายของ “CFR” ที่เรียกๆ กันว่า “บันทึกช่วยจำ” ซึ่งถูกส่งมอบให้กับประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “แฟรงกลิน ดี.โรสเวลต์” จึงกลายมาเป็น “แนวนโยบายต่างประเทศของอเมริกาก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2” หรือแนวคิดและนโยบายของ “AEI” ที่เรียกกันว่า “โครงการเพื่ออเมริกาใหม่” (Project for the New America-PNAC) ที่ถึงกับระบุไว้ในบางช่วง บางตอนว่า “เราจำเป็นต้องเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันทั่วทั้งคาบสมุทรอาระเบีย ตั้งแต่เคอร์คุก (อิรัก) ไปจนถึงมุสกัต (โอมาน) เพราะในแง่เป้าหมายแห่งความเป็นจักรวรรดิอันมิอาจมีผู้ใดต่อต้านได้นั้น เราเลี่ยงไม่พ้นที่ต้องเข้าควบคุมตลาดน้ำมันตลอดชั่วยุคสมัยของมัน โดยเฉพาะถ้าหลอมรวมเอาซาอุดีอาระเบียเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งด้วยแล้ว เราก็จะเป็นเจ้าจักรวาลโดยทันที” ก็จึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่ง หรือส่วนสำคัญของ “State of the Union” ของรัฐบาลอเมริกันรายแล้วรายเล่า มาจนถึง “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง...


กำลังโหลดความคิดเห็น