xs
xsm
sm
md
lg

‘ทรัมป์’ ได้วาระคุยฟุ้งอีกรอบ

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์


ผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในวาระแถลงนโยบายต่อรัฐสภาวานนี้ เป็นการกล่าวที่ยาวยืดที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง โดยเฉพาะสำหรับผู้นำที่เผชิญกับการสอบสวนโดยอัยการพิเศษ กระบวนการยุติธรรมและกรรมาธิการของสภาคองเกรส

แน่นอน ทรัมป์ย่อมใช้จังหวะเหมาะในการออดอ้อนให้คนในชาติมุ่งสู่ความสามัคคี ปรองดอง เลิกการเมืองแบบแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ขณะเดียวกันก็ยกดีเข้าตัว ยกชั่วให้คนอื่น แขวะพรรคเดโมแครตว่าขอให้เลิกราการหาความผิดของตนเองในเรื่องต่างๆ

คำอ้อนของทรัมป์ค้านกับความเป็นจริงที่ว่าอดีตบริวารหลายคนได้เข้าคุก และรอการพิจารณาคดีจากศาลเพราะการช่วยเหลือทรัมป์ในเรื่องต่างๆ ซึ่งละเมิดกฎหมาย และทรัมป์เองก็มีโอกาสที่จะถูกเข้าสู่กระบวนการถอดถอน ถ้าหลักฐานการสอบเข้าถึงตัว

ก่อนหน้านี้ประธานสภาคองเกรส นางแนนซี เพโลซี ให้ทรัมป์เลื่อนการแถลงนโยบายไปก่อนจนกว่าสำนักงานของรัฐซึ่งปิดตัวลงเพราะขาดงบประมาณ เปิดทำการตามปกติ จนทำให้ทรัมป์ต้องยอมลดราวาศอกหลังจากวิกฤตจากชัตดาวน์ลามไปมาก

เมื่อได้โอกาสเหมาะ ทรัมป์ก็ใช้จังหวะนี้ร่ายยาว ท่ามกลางเสียงปรบมือโห่ร้องเป็นระยะๆ โดยกลุ่มนักการเมืองพรรครีพับลิกัน ส่วนพรรคเดโมแครตก็ต้องปรบมือ แต่บางส่วนไม่ได้ลุกขึ้นยืน นางเพโลซีลุกยืนเป็นช่วงตามมารยาทเพราะนั่งอยู่ข้างหลังทรัมป์

หลายช่วง ทรัมป์พูดประโยคไม่กี่คำ แต่สมาชิกรีพับลิกันยืนปรบมือยาวนานกว่าระยะเวลาการพูดด้วยซ้ำ ขณะที่คนพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่ไม่ลุกยืนร่วมปรบมือด้วย

หลังจากการแถลงอย่างยืดยาว คนของพรรคเดโมแครตรีบลุกออกไปจากห้องประชุม ขณะที่คนพรรครีพับลิกันยังยืนปรบมือไม่เลิก แสดงให้เห็นว่าเสียงเรียกร้องของการประนีประนอมเป็นเพียงรูปแบบของการแถลงนโยบายให้ทุกอย่างดูดีมีหลักการ

ทรัมป์ก็แถลงย้ำถึงความจำเป็นต้องมีกำแพงกั้นชายแดนกับเม็กซิโก ต้องมีงบเพียงพอเพื่อให้สร้างกำแพงแข็งแรง ส่วนหนึ่งทรัมป์แขวะกลุ่มคนรวยที่อยากให้ทรัมป์เปิดกว้างพรมแดนแต่ตัวเองอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบประตูกั้นแข็งแรง

เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นประเด็นหาเสียงของทรัมป์ แต่คนอเมริกันส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะพวกที่มาจากละตินอเมริกาไม่เห็นด้วย ว่าผู้อพยพเป็นภัยคุกคามประเทศ

คนละตินอเมริกาและคนยิวส่วนหนึ่งได้เข้าไปร่วมฟังทรัมป์แถลง และเป็นโอกาสของทรัมป์ในการหาเสียงจากผู้ที่ประสบภัยจากนโยบายต่อต้านชาวยิว มีเหยื่อเป็นชายอายุ 81 ปี ซึ่งรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าร่วมฟังด้วย

ทรัมป์ไม่ปล่อยให้โอกาสทองพลาดไป สำหรับการอ้อนหาคะแนนนิยม

ซีเอ็นเอ็นได้ทำโพลทันทีหลังจากทรัมป์แถลงเสร็จ มีคนนิยมประมาณ 59 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่ได้ระบุว่าคนที่แสดงความเห็นชื่นชอบหรือสังกัดพรรคการเมืองใด ทรัมป์ยังเน้นนโยบายเรื่องการรับคนเข้าเมือง มนุษยธรรม การดูแลเอาใจใส่ประชาชน

ทรัมป์ยังป่าวร้องแบบเวอร์เหมือนเดิม อ้างว่ากำแพงกั้นพรมแดนใต้กับเม็กซิโกเป็นวาระความมั่นคงของประเทศ ไม่ได้เผชิญกับภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงทั้งอาชญากรรม ยาเสพติด การแทรกแซงอื่นๆ โดยเฉพาะจากคลื่นผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ

แน่นอน ทรัมป์ย้ำว่าเป้าหมายสำคัญคือทำให้สหรัฐอเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง!

มีประเด็นที่ถูกใจชาวบ้าน และน่าจะเป็นชาวโลก คือทรัมป์ต้องการจัดระเบียบ ควบคุมอุตสาหกรรมยา ธุรกิจการรักษาพยาบาล ซึ่งทรัมป์มองว่าเอากำไรมากเกินไป ดังนั้นจะต้องมีขอบเขตจำกัดเพื่อให้ชาวบ้านเข้าถึงการรักษาสุขภาพด้วยอัตราไม่แพง

ประเด็นนี้ และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การรณรงค์ต่อต้านไวรัสเอดส์และเชื้อเอชไอวี ได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้ง 2 ค่าย เพราะเห็นว่าประชาชนได้ประโยชน์

ถ้อยแถลงแม้จะมีน้ำเสียงของการเรียกร้องให้มีการประนีประนอม มองเห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ทรัมป์ก็ยังยึดอยู่กับความต้องการของตัวเอง นั่นคือเงินงบประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างกำแพง และเหน็บคนต่อต้านเช่นเดิม

ทรัมป์ยังแข็งกร้าวกับนโยบายต่างประเทศในการคว่ำบาตรประเทศอื่นๆ ที่ไม่เข้ากับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ การตอบโต้อย่างรุนแรงในมาตรการกำแพงภาษี และวิธีการอื่นๆ ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะคู่แข่งสำคัญคือจีนในด้านการค้า

ทรัมป์มองจีนว่าเป็นคู่แข่งและภัยคุกคามในภาคเทคโนโลยี ไซเบอร์ ซึ่งโดยสหรัฐฯ และกลุ่มชาติยุโรปยังล้าหลังจีนประมาณ 1 ปีในนวัตกรรม 5 จีซึ่งหัวเว่ยเป็นผู้นำอยู่ ดังนั้นทรัมป์ได้ส่งสัญญาณชัดว่าจะไม่มีการประนีประนอมด้านนี้ถ้าสหรัฐฯ ยังไม่ได้เปรียบ

ประเด็นอื่นๆ ซึ่งทรัมป์ฉวยโอกาสฟื้นความนิยมคือการต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง การที่ไม่ให้ทหารสหรัฐฯ ต้องประสบความสูญเสียในต่างแดน นั่นคือคำมั่นที่จะเร่งถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรียและอัฟกานิสถาน โดยเร็วที่สุด และคุยว่าจะจัดการไอซิสให้ได้

สหรัฐฯ ไม่มีโอกาสหาผลประโยชน์จากการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติในซีเรียและอัฟกานิสถานเพราะไม่มีแหล่งน้ำมัน ต่างจากอิรักซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่แต่สหรัฐฯ ยังไม่ได้อะไรอย่างเป็นกอบเป็นกำหลังจากทำสงครามใหญ่ 2 ครั้งและยังยืดเยื้อทุกวันนี้

ก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการของสภาได้เชิญนายพลกองทัพบกสหรัฐฯ เข้าให้ปากคำกรณีที่ทรัมป์สั่งถอนทหารออกจาก 2 ประเทศ และยอมรับว่าตนเองและเพื่อนนายทหารไม่ได้รับรู้หรือรับการปรึกษาขอความเห็นจากทรัมป์ เป็นการตัดสินใจตามลำพัง

การแถลงนโยบายจบลง มีเสียงจากนักการเมืองสหรัฐฯ ย้อนทันที “อย่ามาบอกว่าท่านจะทำอะไร บอกมาว่าได้ทำอะไรสำเร็จแล้วบ้าง” แบบนี้น่าจะใช้กับคนอื่นได้ด้วยนะ


กำลังโหลดความคิดเห็น